"นิพนธ์" พ่อ"รัฐนิธ"ตัวละครซื้อข้าวจีทูจี "รบ.ยิ่งลักษณ์" ยันลูกไม่หนีคดี
เอ็กซ์คลูซีฟ: เปิดคำชี้แจง"นิพนธ์ โสจิระกุล"พ่อ"รัฐนิธ" ตัวละครซื้อข้าวจีทูจี "รบ.ยิ่งลักษณ์" ยันลูกชายแค่ตัวแทนรับมอบอำนาจส่ง "เอกสาร" ให้บริษัทจีน -ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกระบวนการรับมอบข้าว -ไม่หนีคดี
หลายคนอาจจะทราบแล้วว่า "นายรัฐนิธ โสจิระกุล" หรือ “ปาล์ม” หนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาคดีการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ที่กำลังอยู่ระหว่างการไต่สวนข้อมูลของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นลูกชายของ "นายนิพนธ์ โสจิระกุล" อดีตผู้บริหารขององค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ที่ครั้งหนึ่ง เคยถูกสั่งพักงาน และถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวน หลังถูกระบุว่าเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องปัญหาการนำข้าวเก่าในโครงการรับจำนำข้าวปี 2544/45-ปี 2545/46 และปี 2546 มาเวียนเทียนส่งมอบเป็นข้าวสารในโครงการรับจำนำข้าวเปลือกปี 2546/47 ในยุคที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
(อ่านประกอบ:ข้อมูลใหม่“รัฐนิธ”ตัวละครซื้อข้าวจีทูจี ที่แท้ลูกชายอดีตคน อ.ต.ก.)
และหลายคนกำลังรอฟังคำชี้แจงเกี่ยวกับปัญหาข้าวที่นายรัฐนิธ และ นายนิพนธ์ ผู้เป็นพ่อ เข้าไปยุ่งเกี่ยว ว่า มีข้อเท็จจริงอย่างไร
ล่าสุด ในช่วงบ่ายวันที่ 2 เมษายน 2557 ที่ผ่านมา นายนิพนธ์ โสจิระกุล ได้ติดต่อมายังสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org เพื่อขอชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปัญหาเรื่องข้าว ทั้งในส่วนของตนเอง และลูกชาย
โดยมีรายละเอียดดังนี้
“ข้อมูลที่ระบุว่า ผมและนายรัฐนิธ เป็นพ่อลูกกัน เป็นข้อมูลที่ถูกต้อง”
“ส่วนข้อมูลที่ระบุว่า ผมถูกสั่งพักงานและตั้งกรรมการสอบเกี่ยวกับปัญหาเรื่องข้าวเมื่อหลายปีก่อน ก็เป็นข้อมูลที่ถูกต้อง”
นายนิพนธ์ โสจิระกุล เริ่มต้นชี้แจงข้อมูลสองประโยคดังกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
ก่อนจะชี้แจงเพิ่มเติมว่า “แต่มีข้อมูลบางส่วนที่ยังไม่ครบถ้วน ผมจึงอยากจะขอชี้แจงความเป็นธรรม โดยเฉพาะกรณีของผม เพราะไม่อยากให้มีการนำข้อมูลไปเชื่อมโยงอะไร ซึ่งจะทำให้สังคมเกิดความเข้าใจผิดกันได้”
“ผมถูกสั่งพักงาน และถูกตั้งกรรมการสอบสวนจริง แต่ต้นเรื่องของเรื่องนี้ เกิดขึ้น จากการที่ผมตรวจสอบผิดความไม่ถูกต้อง เกี่ยวกับปัญหาเรื่องข้าว และทำรายงานแจ้งไปยังผู้บริหารให้เข้ามาตรวจสอบข้อมูล แต่กลายเป็นว่า ผมถูกสั่งพักงานและถูกตั้งกรรมการสอบสวนเอง”
“ตอนนั้น เรื่องข้าวมันมีปัญหาซับซ้อนมาก มีฝ่ายการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องเยอะ เมื่อถูกสอบสวน ถูกสั่งพักงานไป 3 เดือน ผมก็ให้เขาสอบสวนเต็มที่ สุดท้ายผลการสอบสวนก็ปรากฏออกมาว่าผมไม่มีความผิด และหลังจากที่ผมโดนพักงาน ผลสอบออกมาว่าผมไม่ผิด ผมได้คืนตำแหน่ง ได้ทุกอย่างคืนกลับมาเหมือนเดิม ”
เมื่อถามว่า เป็นคนแจ้งเบาะแสว่า มีการทุจริตเกิดขึ้น แต่ทำไมเราถึงถูกสอบถูกพักงานเอง
“ก็อย่างที่บอกไป เรื่องข้าวมันมีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ผมเป็นเพียงข้าราชการตัวเล็กๆ จะไปทำอะไรได้ ตอนที่ได้คืนตำแหน่ง ผมก็ไม่รู้จะไปพูดอะไรให้ใครฟัง ปล่อยให้เรื่องเงียบๆ ดีกว่า”
นายนิพนธ์ ยังกล่าวย้ำว่า ตนสามารถชี้แจงเรื่องนี้ได้ แต่ไม่มีเอกสารประกอบเนื่องจากช่วงที่เกษียณอายุเอกสารหายไปหมด แต่ถ้าผู้สื่อข่าวต้องการดูให้ไปตรวจสอบที่ ป.ป.ช. หรือ สตง.ได้เลย
พร้อมย้ำว่า ในช่วงที่ถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวน ชื่อของตน ปรากฎในฐานะพยานผู้ให้ข้อมูลเท่านั้น
นายนิพนธ์ ยังย้ำด้วยว่า ตลอดชีวิตที่รับราชการมา 33 ปี ก่อนเกษียณ ไม่เคยถูกสอบวินัย หรือถูกลงโทษ
จากนั้น นายนิพนธ์ ได้เริ่มต้นชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดีระบายข้าว ของลูกชาย
โดยระบุว่า จากการสอบถามข้อมูลจากนายรัฐนิธ ได้รับการยืนยันว่า เข้าไปเกี่ยวข้องในฐานะตัวแทนผู้รับมอบเอกสารไปส่งให้กับกรมการค้าต่างประเทศเท่านั้น ไม่ได้เป็นตัวแทนบริษัทตามที่ถูกตั้งข้อกล่าวหาแต่อย่างใด
“ตอนที่เกิดเรื่องผมได้ถามลูกว่าเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยจริงหรือไม่ เขายืนยันกับผมว่า ได้รับมอบอำนาจให้เอาเอกสารไปส่งให้เท่านั้น เรื่องอื่นไม่ให้ยุ่งเกี่ยวอะไรด้วยเลย”
นายนิพนธ์ กล่าวต่อไปว่า จากนั้นตนได้สอบถามลูกว่า บริษัท GSSG IMP AND EXPORT CORP เป็นใคร เขาก็บอกว่าเป็นรัฐวิสาหกิจของจีน จดทะเบียนถูกต้อง ไม่ใช่เอกชนทั่วไป
เมื่อถามว่า แต่ป.ป.ช. มีหลักฐานว่าเป็นตัวแทนรับมอบอำนาจจากบริษัทฯ
“ลูกผมมีหน้าที่แค่ไปส่งเอกสารให้เท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลย ไม่ได้เป็นตัวแทนอะไรของบริษัท และพอเกิดเรื่องผมก็ให้เขาออกมาเลย บอกไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวอะไรอีก”
เมื่อถามว่า ลูกชาย เข้าไปรับงานนี้ได้อย่างไร
นายนิพนธ์ ตอบว่า “ผมก็ไม่ทราบละเอียด บอกว่ามีคนรู้จักชวนไป แต่ไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวอะไรอีกแล้ว ผมไม่ทราบอะไรมากกว่านี้ ”
เมื่อถามว่า ลูกชาย มีตำแหน่งเป็นผู้ช่วย ส.ส. ของนางรพีพรรณ พงศ์เรืองรอง ภรรยานายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง จริงหรือไม่
นายนิพนธ์ ตอบว่า “เขาเป็น แต่ผมให้ออกมาแล้ว ให้ออกมาหมด ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวอะไร”
เมื่อถามว่า ใครเป็นคนแนะนำให้เข้าไป
นายนิพนธ์ ตอบว่า “พี่ที่รู้จักมาชวน แต่ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวอะไรอีกแล้ว”
เมื่อถามว่า ข้อมูลทุกอย่างลูกชายเป็นคนเล่าให้ฟัง
นายนิพนธ์ ตอบว่า “ผมถามลูก เรียกมาคุย เขาก็ตอบแบบนี้”
“เขายืนยันกับผมว่าไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้เลย เขาแค่มีชื่อเป็นผู้รับมอบอำนาจนำเอกสารไปส่งให้กรมการค้าต่างประเทศแทนบริษัทเท่านั้น และจากนั้นก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวอะไรอีก และผมเป็นคนบอกเขาเองว่าให้ออกมาเลยไม่ต้องเข้าไปยุ่ง ซึ่งเขาก็บอกว่าลาออกมาแล้วไม่ได้เข้าไปยุ่งอะไรด้วยอีก”
“จริงๆ แล้วในขั้นตอนการทำสัญญาซื้อขาย ภายหลังจากที่มีการรับข้าวออกมาผมคิดว่าเป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่รับผิดชอบจะต้องเข้าไปตรวจสอบและติดตามข้อมูลนะ ว่าคู่สัญญานำข้าวออกไปต่างประเทศจริงหรือไม่ แต่เรื่องนี้ผมไม่รู้ว่าเขาทำกันอย่างไรบ้าง”
เมื่อถามว่า ป.ป.ช.ตรวจสอบพบว่า ข้าวไปไม่ได้ถูกส่งออกไปต่างประเทศจริง
นายนิพนธ์ ตอบว่า “เรื่องนี้ผมไม่ทราบ และลูกผมก็คงไม่ทราบอะไรด้วย เพราะไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวอะไรในขั้นตอนนั้น เขาออกมานานแล้ว ก็อย่างที่บอกไป มันเป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่รับผิดชอบจะต้องไปติดตามตรวจสอบดูแลงานให้เป็นไปตามสัญญา”
“แต่สิ่งทำกันในกระบวนการซื้อข้าวส่งออกไปต่างประเทศ หลังจากที่บริษัทต่างประเทศซื้อข้าวได้ เขาจะไม่ส่งออกข้าวทันที แต่จะให้บริษัทเอกชนในประเทศมารับไปปรับปรุงข้าวให้มีคุณภาพก่อนส่งออกไป ส่วนหลังจากปรับปรุงเสร็จแล้ว ข้าวไปไหนเราคงไม่ทราบ เพราะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในกระบวนการตรงนั้น ซึ่งในขั้นตอนการรับข้าว ลูกผม ก็มอบอำนาจให้นายสมคิด เอื้อนสุภาไปดำเนินการต่อไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วย ”
เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้ ระบุว่า นายรัฐนิธ เป็นตัวแทนในการรับมอบเอกสารเพื่อไปส่งต่อให้กับกระทรวงพาณิชย์เท่านั้น แต่ทำไมนายรัฐนิธ ถึงมอบอำนาจให้ นายสมคิด เอื้อนสุภา รับมอบข้าวแทนได้ สรุปแล้วนายรัฐนิธ เป็นตัวแทนอะไรของบริษัทกันแน่
นายนิพนธ์ ตอบว่า “เท่าที่ผมสอบถามข้อมูลจากลูก ได้รับการยืนยันว่ามีอำนาจ 2 ส่วน คือ 1. รับมอบอำนาจนำเอกสารไปส่งให้กับกระทรวงพาณิชย์ กับรับมอบอำนาจนำข้าวสารออกมา แต่ส่วนอื่นเขาไม่ได้ยุ่งอะไรด้วยเลย บริษัทเขามีประชุมกันก็ไม่ค่อยได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวอะไร เขาให้เข้าประชุมด้วยเพียงไม่กี่ครั้ง และช่วงที่เกิดเรื่องขึ้นใหม่ ก็ไปลาออกมาหมดแล้วไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวอะไรอีก"
"ตอนนี้เรากำลังทำหนังสือแจ้งให้ ป.ป.ช. รับทราบว่า กรอบความรับผิดชอบของเรามีแค่ไหน เข้าไปเกี่ยวข้องอะไรแค่ไหนอีกครั้ง”
เมื่อถามว่า ทำไมนายรัฐนิธ ถึงไม่เดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหาต่อ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 11 ก.พ.ที่ผ่านมา
นายนิพนธ์ ตอบว่า “เรากำลังเตรียมเอกสารชี้แจงกับทาง ป.ป.ช.อยู่ ไม่ใช่ว่าเราจะไม่ไป ตอนที่มีเอกสารเรียกจาก ป.ป.ช.ส่งมาเราก็เซ็นรับโดยดี และที่สำคัญทราบว่าตอนนี้ทาง ป.ป.ช.กำลังเรียกบริษัท “GSSG IMP AND EXPORT CORP มาชี้แจงข้อมูลอยู่ เราเลยอยากรอให้ทางบริษัทฯ แจงให้เรียบร้อยก่อน จะรอดูก่อนว่าเขาจะชี้แจงอย่างไร”
“ผมบอกลูกไปแล้วว่าไม่ต้องหนี ถ้าไม่มีอะไรผิด ถ้าทุกอย่างทำตามขั้นตอนถูกต้อง ป.ป.ช.ไม่ได้ร้ายอย่างที่คิด ถ้าทุกอย่างมีหลักฐานชี้แจงได้ เขาก็ไม่ทำอะไรเราหรอก”
เมื่อถามว่า สถานะของนายรัฐนิธ ที่ ป.ป.ช. แจ้งมาคืออะไร
นายนิพนธ์ ตอบว่า เท่าที่อ่านจากหนังสือแจ้งข้อกล่าวหา คือเป็นผู้รับมอบอำนาจ ทำนิติกรรมสัญญาต่างๆ จ่ายเงิน เป็นตัวแทนบริษัท
เมื่อถามว่า ตอนที่นายรัฐนิธ บอกข้อมูล ได้เอาหลักฐานให้ดูด้วยหรือไม่
นายนิพนธ์ ตอบว่า “ผมถามเขา ก็ตอบด้วยวาจา"
เมื่อถามว่า ถ้านายรัฐนิธ ปิดบังไม่บอกข้อมูลทั้งหมด
นายนิพนธ์ ตอบว่า “ถ้าเขาปิดบัง แล้วมีอะไรเกิดขึ้น มันก็ถือเป็นเวรกรรม ที่เขาจะต้องรับไป ถ้าเขาปิดบังพ่อจะทำยังไงได้”
ทั้งหมดนี่ คือคำชี้แจงจาก นายนิพนธ์ โสจิระกุล บิดาของ นายรัฐนิธ โสจิระกุล หนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาคดีการระบายข้าวจีทูจี ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่อยู่ระหว่างการไต่สวนของ ป.ป.ช.ในขณะนี้
(ดูหลักฐานประกอบ)