3 เส้นทาง "มุสลิมอุยกูร์" จากจีนลอบเข้าไทย
การเข้ามาของกลุ่มมุสลิมผู้อพยพกว่า 200 คน ทำให้ไทยถูกดีดให้ไปอยู่ตรงกลางของความขัดแย้งระหว่างตุรกีกับมหาอำนาจอย่างจีน ที่กำลังแย่งตัวกลุ่มมุสลิมดังกล่าวให้มาอยู่ในความครอบครอง
อย่างไรก็ตาม จากการสืบสวนของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ก็พบแล้วว่า กลุ่มมุสลิมทั้งหมดเดินทางมาจากจีนเพื่อเดินทางต่อไปยังตุรกี ภายใต้การช่วยเหลือของกลุ่มประเทศมุสลิม ในขณะที่จีนต่อต้านอย่างเด็ดขาด เพราะหากปล่อยไปแล้วคนกลุ่มนี้จะกลับมากลายเป็นอาวุธแทงตัวเองจากการก่อความไม่สงบที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทั่วประเทศ
พล.ต.ท.ภาณุ เกิดลาภผล ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.) ยอมรับว่า เขาได้เดินทางไปประชุมกับตำรวจคุนหมิง (สาธารณรัฐประชาชนจีน) เมื่อปลายปีที่ผ่านมา เพื่อหารือและแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัยเกาหลีเหนือ แต่ทางการคุนหมิงกลับให้ความสำคัญกับผู้อพยพชาวอุยกูร์ ซึ่งตอนนั้นถือเป็นความรู้ใหม่ว่ามีคนจีนมุสลิมพยายามที่จะลักลอบเข้ามาเมืองไทยเพื่อไปยังประเทศที่สาม ทำให้ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมาจนถึงต้นปีนี้มีการจับกุมกลุ่มคนมุสลิมที่หลบหนีเข้าประเทศไปแล้วจำนวน 112 คน และในจำนวนนี้พิสูจน์ไปแล้วว่าเป็นคนจีน 30 คน ไม่รวมที่จับใหม่ในภาคใต้ในเดือน มี.ค.
แต่กระนั้น พล.ต.ท.ภาณุ ปฏิเสธที่จะยืนยันในตอนนี้ว่ากลุ่มมุสลิมทั้งหมดเป็นชนชาติใด เนื่องจากอาจกระทบความสัมพันธ์กับต่างประเทศ เพราะจีนก็บอกว่าคนกลุ่มนี้เป็นของตน ขณะที่ตุรกีก็ออกมายืนยันและพร้อมจะช่วยเหลือให้คนกลุ่มนี้เดินทางต่อไปยังตุรกี ขณะนี้จึงอยู่ระหว่างการพิสูจน์สัญชาติ
แต่ทั้งนี้เมื่อดูการสืบสวนและข้อมูลของตำรวจ ตม. รวมทั้งการประสานงานล่วงหน้าจากจีนกับไทยแล้ว ค่อนข้างแน่ชัดว่าคนกลุ่มนี้เดินทางมาจากจีนอย่างแน่นอน แต่แยกกันเข้ามายังเมืองไทยหลายเส้นทาง
แหล่งข่าวใน สตม.ที่สืบสวนเรื่องนี้ บอกว่า คนมุสลิมที่ลักลอบเข้าเมืองที่ถูกจับกุมตามที่เป็นข่าวเป็นชาว "ซิยเจียงอุยกูร์" ใช้เวลาเดินทางจากซินเจียงมาถึงชายแดนไทยราว 14 วัน และจะไม่ได้เดินทางมาเป็นกลุ่ม เพื่อป้องกันการตรวจสอบจากรัฐบาลจีน คนกลุ่มนี้จะมีการรวมตัวกันอย่างลับๆ ในคุนหมิงที่อยู่ทางใต้ของจีน จากนั้นจะเข้าเมืองไทยได้ 3 เส้นทาง คือ
1.เดินทางเข้าประเทศเมียนมาร์และผ่านไทยทางชายแดนด้านท่าขี้เหล็ก-แม่สาย จ.เชียงราย
2.เดินทางเข้าประเทศลาวและข้ามแม้น้ำโขงเข้าไทยที่ชายแดน อ.เชียงแสน อ.เชียงของ จ.เชียงราย
3.เดินทางเข้าเวียดนาม จากนั้นจึงเข้าประเทศกัมพูชาและเข้าไทยได้สองรูปแบบ กล่าวคือ แบบแรกเข้ามาทางชายแดน อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว แบบที่สอง ล่องเรือจากกัมพูชาเข้า จ.สงขลา
แต่ไม่ว่าจะมาจากเส้นทางไหน ทั้งหมดจะมารวมตัวกันในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย เนื่องจากมีคนส่วนใหญ่เป็นมุสลิมเหมือนกัน และต้องการจะข้ามไปยังมาเลเซีย เพื่อเดินทางต่อไปยังประเทศปลายทาง
แนวทางการสืบสวนยังพบด้วยว่า มุสลิมที่จับกุมได้นั้นเมื่อเดินทางออกจากประเทศจีนแล้ว จะโยนหนังสือเดินทางจีนทิ้งทั้งหมด และจะไม่พูดภาษาจีนหรือภาษาใดๆ กันคนแปลกหน้า แต่จะสื่อสารกับคนในขบวนการนำพาเท่านั้น อย่างไรก็ตาม แม้ว่าพวกเขาจะบอกว่าเป็นตุรกี และตุรกีก็มีทีท่าจะรับเขาทั้งหมดเป็นพลเมือง แต่การตรวจค้นสัมภาระกลับพบตั๋วรถทัวร์ หรือแม้แต่ผ้าเย็น รวมทั้งเครื่องอุปโภคบริโภคที่เป็นภาษาจีนทั้งสิ้น ในขณะที่บางคนยังพบตั๋วรถโดยสารในเวียดนามอีกด้วย
"ตำรวจ ตม.ไม่ได้โง่ แม้ว่าคนกลุ่มนี้จะสื่อสารกันกับเจ้าหน้าที่ตุรกีได้ แต่เมื่อเราเอาล่ามภาษากลางของตุรกีของเราเองมาพูดคุยด้วย คนพวกนี้กลับสื่อสารได้ไม่ดีนัก ล่ามของเราถึงกับบอกว่าเขาไม่น่าจะพูดตุรกีได้ พวกนี้จึงไม่ใช่ตุรกีแน่นอน" แหล่งข่าวกล่าว พร้อมกับบอกด้วยว่ามุสลิมเหล่านี้ใช่เงินกว่า 1 แสนบาทต่อคนจ่ายให้กับผู้นำพาเพื่อเดินทางไปยังตุรกี และสำหรับค่าหนังสือเดินทางที่ขบวนการจัดทำไว้ให้
ในทางการสืบสวนยังพบด้วยว่า เป้าหมายต่อไปของคนกลุ่มนี้จะเดินทางไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เพื่อรับหนังสือเดินทางของประเทศตุรกี และบินสู่ตุรกี เป็นอันจบสิ้นขบวนการนำพา และเปลี่ยนสัญชาติอย่างถาวร แต่ขณะนี้ยังบอกไม่ได้ว่าหนังสือเดินทางที่จะให้กับคนกลุ่มนี้นั้นเป็นของจริงหรือไม่ แต่ด้วยท่าทีของตุรกีแล้วทำให้เชื่อว่าหนังสือเดินทางอาจจะเป็นแบบถูกกฎหมายที่ออกให้โดยรัฐบาลตุรกี
สำหรับสาเหตุที่ทำให้กลุ่มคนมุสลิมและขบวนการนำพามาถูกจับกุมก่อนในเมืองไทย เป็นเพราะอยู่ระหว่างรอเวลาการเจรจาซื้อขายหนังสือเดินทาง และการผ่านข้ามแดนไปยังมาเลเซีย
แหล่งข่าว กล่าวอีกว่า ในส่วนของประเทศจีนนั้น แน่นอนว่าขณะนี้ยังมีท่าทีวางเฉย แต่พร้อมจะยืนยันตลอดเวลาว่าคนเหล่านี้เป็นคนจีน โดยตำรวจจีนพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการว่า ขบวนการเหล่านี้บางส่วนต้องการเดินทางไปประเทศที่สามเพื่อฝึกอาวุธ เพราะที่ผ่านมาก็มีการจับกุมมาหลายครั้งในประเทศจีน หลังจากฝึกทางยุทธวิธีแล้วก็จะลักลอบเข้าไปก่อเหตุร้ายในเมืองจีนในรูปแบบของขบวนการแบ่งแยกดินแดน
ทั้งนี้ ในขบวนการนำพานั้นมีแกนนำที่เคยเป็นชาวจีนมาก่อนรวมอยู่ด้วย แต่ทุกวันนี้ทำงานให้กับรัฐบาลตุรกี และคอยให้ความช่วยเหลือมุสลิมอุยกูร์ในจีนเดินทางออกนอกประเทศด้วยวิธีที่ผิดกฎหมาย
"ตำรวจ ตม.ไทยยืนอยู่ตรงกลาง ไม่สามารถทำอะไรได้ เพียงแต่รอการตรวจพิสูจน์ และยังมีตัวสอดแทรกอย่างยูเอ็นเอชซีอาร์ (สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ) เข้ามาอีก มีเรื่องมนุษยธรรมมาเกี่ยวข้อง เพราะเชื่อกันว่าหากส่งกลับไปเมืองจีน พวกนี้ก็จะถูกฆ่า เหมือนเมื่อปี 2552 กัมพูชาเคยส่งอุยกูร์กลับไป 10 คน ปรากฏว่าทั้งหมดถูกศาลจีนตัดสินให้ประหารชีวิต"
เจ้าหน้าที่ สตม.ยังบอกด้วยว่า ขณะนี้การสืบสวนเริ่มคืบหน้าไปมาก พบว่ากลุ่มนี้มีแกนนำ 4-5 คน มีกองกำลังคุ้มกันทำหน้าที่เป็นการ์ด มีตำรวจร่วมมือด้วย เข้าเมืองไทยเมื่อวันที่ 5 มี.ค. โดยรวมตัวกันพักอยู่ที่อาคารร้าง 5 ชั้นย่านมีนบุรี จากนั้นก็เดินทางไปยัง จ.สงขลา เพื่อรอเดินทางเข้ามาเลเซีย (ถูกจับกุมวันที่ 12 มี.ค.ที่ อ.รัตภูมิ จ.สงขลา)
ทั้งนี้การขนคนจากกรุงเทพฯมาทางใต้นั้น หากพบด่านของเจ้าหน้าที่ กลุ่มผู้นำพาจะจ่ายเงินให้กับเจ้าหน้าที่เป็นด่านๆ ไป ในราคาที่สูงมาก แต่หากไม่ถูกตรวจค้นก็จะไม่จ่าย และไม่มีการเคลียร์เส้นทางล่วงหน้าเหมือนขบวนการขนของหนีภาษี
สำหรับการดำเนินคดีของ ตม.จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ 1.ผู้นำพา ขณะนี้พอจะทราบเรื่องรถที่ใช้แล้ว และ 2.กลุ่มให้ที่พักพิง ซึ่งก็จะมีความผิดด้วยในฐานะผู้ร่วมขบวนการ
พล.ต.ท.ภาณุ กล่าวเสริมด้วยว่า เรื่องมุสลิมไม่ระบุสัญชาติกลุ่มนี้ ได้ให้เจ้าหน้าที่ใช้ความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ เพราะมีความแตกต่างกับกรณีโรฮิงญา เนื่องจากอาจจะเกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศขึ้นได้ ไทยอยู่ตรวจกลาง ส่วนจีนและตุรกีน่าจะมีการพูดคุยกัน ทั้งนี้การพิสูจน์คงต้องใช้เวลาพอสมควร แต่เชื่อว่าสุดท้ายน่าจะมีทางออก
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ : 1 และ 2 มุสลิมไม่ระบุสัญชาติที่ลักลอบเข้าเมือง หลายฝ่ายเชื่อว่าเป็นชาวซินเจียง-อุยกูร์ จากมณฑลทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน
หมายเหตุ :
1 วัสยศ งามขำ เป็นผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ และเป็นนักข่าวรุ่นบุกเบิกของศูนย์ข่าวอิศรา
2 รายงานพิเศษชิ้นนี้ตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ฉบับวันจันทร์ที่ 24 มี.ค.2557
3 ภาพทั้งหมดโดย สุเมธ ปานเพชร ผู้สื่อข่าวและช่างภาพ ศูนย์ข่าวภาคใต้ สำนักข่าวอิศรา