'ชวลิต' วอนเกษตรกรงดเผาตอซังเเก้ปัญหาหมอกควัน
ก.เกษตรฯ ห่วงภัยแล้ง-หมอกควัน-ไฟป่า มอบกรมส่งเสริมเกษตรและกรมพัฒนาที่ดินดูแล ย้ำเกษตรกรงดเผาตอซัง ลดอัตราการเกิดหมอกควัน งดทำนาปรังรอบสอง เหตุน้ำต้นทุนเหลือน้อย
นายชวลิต ชูขจร ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ปลัดกษ.) เปิดเผยถึงมาตรการรับมือสถานการณ์ภัยแล้งภาคการเกษตรและสถานการณ์หมอกควันว่า สำหรับสถานการณ์ภัยแล้งในปีนี้ค่อนข้างจะน่าเป็นห่วง เพราะมาเร็วและค่อนข้างจะนาน และเมื่อความชื้นที่น้อยสิ่งที่เกิดขึ้นคือความแห้งแล้งที่สะสมมานาน ใบไม้ใบหญ้า หรือวัชพืชต่าง ๆ ที่ปกคลุมอยู่โอกาสที่จะเกิดฟืนไฟง่าย
ขณะเดียวกัน เกษตรกรที่มีวิถีทำการเกษตรแบบเดิม ๆ ในพื้นที่ภาคเหนือใช้วิธีการเผานั้น จำเป็นต้องรณรงค์ โดยเน้นย้ำกรมส่งเสริมการเกษตรและกรมพัฒนาที่ดินจะต้องทำความเข้าใจกับเกษตรกร เพื่อขอความร่วมมือว่าอย่าใช้วิธีเผา แต่ให้ใช้เศษใบไม้ใบหญ้าหรือวัชพืชต่าง ๆ สามารถนำมาทำปุ๋ยหมักได้ ซึ่งถือเป็นนโยบายและเป็นเรื่องที่สำคัญ
“ปัจจุบันกระทรวงเกษตรฯ ได้เร่งรัดในส่วนของมาตรการเชิงป้องกันปัญหาหมอกควันและลดปัญหาความแห้งแล้งมาโดยตลอด โดยในเรื่องการทำฝนหลวง หากสภาวะอากาศมีความชื้นสัมพัทธ์เพียงพอ ขณะนี้ได้ตั้งกลุ่มปฏิบัติการฝนหลวงไปปฏิบัติการอยู่ใน 5 ภูมิภาค หากมีการวัดระดับของความชื้นในอากาศว่าเพียงพอเครื่องบินสามารถขึ้นพร้อมบินปฏิบัติการได้ในทันที” ปลัดกษ. กล่าว
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการปฏิบัติการทำฝนหลวงอาจจะทำให้ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาลก็ตาม แต่การขึ้นปฏิบัติการสามารถลดความเข้มข้นของปัญหาหมอกควันลงได้ เพราะเป็นทำลายชั้นฟิล์มอยู่ในบริเวณที่มีปัญหาหมอกควันปกคลุม ซึ่งมาตรการการปฏิบัติการทำฝนหลวงจะสามารถช่วยเหลือปัญหาตรงนี้ได้
นายชวลิต กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับมาตรการในการบริหารจัดการน้ำที่มีอยู่อย่างจำกัด กระทรวงเกษตรฯ ได้เน้นย้ำให้ระมัดระวังในการใช้น้ำโดยเฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยา ซึ่งน้ำในเขื่อนสิริกิติ์และเขื่อนภูมิพลมีน้ำน้อยกกว่าปีที่ผ่านมาประมาณร้อยละ 30 จึงมีการวางแผนการใช้น้ำอย่างจำกัดทั้งการปลูกข้าวนาปี และการทำนาปรังที่วางแผนไว้ไม่เกิน 5 ล้านไร่/ปี เพื่อให้เมาะสมกับน้ำที่มีอยู่ แต่ข้อมูลการปลูกจริงพบว่า เกษตรกรมีการปลูกข้าวไปแล้วกว่า 8 ล้านไร่/ปี แต่ทางกรมชลประทานก็แก้ไขปัญหาปลูกข้าวไปแล้วกว่า 8 ล้านไร่พยายามให้น้ำอย่างเต็มที่
ดังนั้น จึงต้องขอความร่วมมือกับเกษตรกรงดทำนาปรังรอบสองที่ต้องใช้น้ำมากไม่สามารถทำได้ แต่ควรปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อยทดแทน เพราะน้ำที่มีอยู่อย่างจำกัดพอคำนวณแล้วน้ำที่เหลือยู่ต้องใช้ในเรื่องของการรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อมาไล่น้ำเค็ม ใช้สำหรับอุปโภคบริโภค อุตสาหกรรมและต้องมาทำน้ำประปา
“กรมชลประทานต้องสำรองน้ำต้นทุนเพื่อให้น้ำที่มีอยู่สามารถใช้ได้ถึงพฤษภาคมนี้ หากฝนมาช้ากว่าปกติ เพราะฉะนั้น ในช่วงที่เหลือมีนาคม-พฤษภาคม น้ำที่มีอยู่อย่างจำกัด ปริมาณน้ำที่เหลือไว้อุปโภคและบริโภค ใช้ไว้ไล่น้ำเค็ม หากเกษตรกรเห็นน้ำผ่านหน้านาก็จะสูบน้ำไว้ ตรงนี้รับรองว่าจะทำให้เกิดความเดือดร้อนอย่างแน่นอน” ปลัดกษ. กล่าว .
ภาพประกอบ:region3.prd.go.th