เปิดละเอียด!คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ เอกฉันท์ตีตก กม.เงินกู้ 2 ล้านล.
เปิดละเอียด! คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ "ตีตก" ร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล. ชี้ปัญหาตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติ "ส.ส.เพื่อไทย" เสียบบัตรแทนกัน
จากกรณีศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยลงมติว่าร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ….มีบทบัญญัติที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 168 วรรค 1 และมาตรา 170
ทั้งนี้ เพื่อให้สาธารณชนได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในกรณีนี้มากขึ้น สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org นำเสนอรายละเอียดประเด็นการพิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ มานำเสนอดังนี้
ศาลพิจารณาพิจารณาคำร้อง คำชี้แจง เอกสารประกอบของผูร้องและการไต่สวนพยานผู้เชี่ยวชาญแล้ว ได้กำหนดประเด็นวินิจฉัยรวม 2 ประเด็น ได้แก่
ประเด็นที่ 1 พิจารณาว่าร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจ กระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ….ตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญหรือไม่
ประเด็นที่ 2 พิจารณาว่าร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจ กระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ…. มีข้อความขัดแย้งต่อ รัฐธรรมนูญ หมวด 8 ว่าด้วยการเงิน การคลัง และงบประมาณ หรือไม่
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้ว สรุปผลการวินิจฉัยแต่ละประเด็น คือ
ประเด็นที่ 1
ศาลพิจารณาจากพยานหลักฐานที่ได้จากการไต่สวน ฟังข้อเท็จจริง เป็นที่ยุติได้ว่า นายนริศร ทองธิราช สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ. สกลนคร พรรคเพื่อไทย ได้ใช้บัตรแสดงตนและออกเสียง ในระบบอิเล็กทรอนิกส์ แทนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รายอื่น ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันศุกร์ที่ 20 กันยายน 2556 พิจารณาร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจ กระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ….
(อ่านประกอบ : เปิดตัว ส.ส. "เสียบบัตร-ออกเสียงแทนผู้อื่น" ในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ , นริศร :เห็นแค่สูทไม่เห็นหน้า รู้ได้ไงว่าผมเสียบบัตรแทนส.ส.คนอื่น?)
ซึ่งเมื่อพิจารณา รัฐธรรมนูญ มาตรา 122 บัญญัติว่า สส.และสว. ย่อมเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย โดยไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติ มอบหมาย หรือความครอบงำใด และต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ส่วนรวม ของปวงชนชาวไทย โดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์ และมาตรา 126 วรรค 3 บัญญัติว่า สมาชิกคนหนึ่งย่อมมีเสียงหนึ่งในการออกเสียงลงคะแนน แล้ว
“เห็นว่า การลงคะแนนเสียงแทนกันในการพิจารณา ร่าง พรบ. นี้ ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 122 และ 126 วรรค 3 ศาลรัฐฐธรรมนูญ โดยมติเสียงข้างมาก เห็นว่า ร่าง พรบ.ให้อำนาจกระทรวงการคลัง กู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พศ.. ตราขึ้นโดยไม่ถูกต้อง ตามบทบัญญัติ แห่งรัฐธรรมนูญนี้"
ประเด็นที่2
ร่างพระราชบัญญัตินี้ มีข้อความหรือขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หมวด 8 ว่าด้วยการเงิน การคลัง และงบประมาณ หรือไม่
ในประเด็นดังกล่าว ที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า ก่อนที่จะวินิจฉัย มีปัญหาที่ต้องพิจารณาก่อนว่าเงินกู้ตามร่างพรบ.นี้เป็น “เงินแผ่นดิน” ตามความหมายของรัฐธรรมนูญ หรือไม่
เห็นว่า คำว่า “เงินแผ่นดิน” ไม่ได้มีการกำหนดความหมายไว้โดยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายใด แต่เมื่อพิจารณาจาก พรบ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2542 มาตรา4 ประกอบกับความเห็นของพยานบุคคลซึ่งเป็นผู้มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการเงิน การคลัง และงบประมาณ ตลอดจนบรรดากฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องแล้ว เห็นว่าเงินกู้ตาม ร่าง พรบ.นี้ เป็นเงินแผ่นดินตามความหมายของรัฐธรรมนูญ
ศาลพิจารณาเห็นว่า เมื่อเงินกู้ ตามร่าง พรบ. นี้ มีลักษณะเป็นเงินแผ่นดิน การใช้จ่ายจึงต้องขึ้นอยู่ในบังคับแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 169 วรรค 1 ที่บัญญัติ ให้การจ่ายเงินแผ่นดิน จะกระทำได้ ก็เฉพาะที่ได้อนุญาตไว้ใน กฎหมาย ว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย
กฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ,กฎหมายเกี่ยวด้วยการโอนงบประมาณ หรือกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง เว้น แต่ในกรณี “จำเป็นเร่งด่วน“ รัฐบาลจะจ่ายไปก่อนก็ได้ แต่ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่ กฎหมายบัญญัติ และต้องตั้งงบประมาณ รายจ่าย เพื่อชดใช้เงินคงคลัง ใน พรบ. โอนเงินงบประมาณรายจ่าย,พรบ. งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม หรือ พรบ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณถัดไป
แต่ตามข้อเท็จจริงปรากฏว่าการดำเนินการเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ด้านคมนาคมขนส่งของ ประเทศตาม ที่ร่าง พรบ นี้มุ่งประสงค์ ยังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน
การใช้จ่ายเงินแผ่นดิน ต้องเป็นไปตามกรอบวินัยการเงินการคลังตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรค 2 เพื่อการรักษาเสถียรภาพ การพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน และความเป็นธรรมในสังคม
“ดังนั้น การที่ร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจ กระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ….ให้อำนาจกระทรวงการคลัง กู้เงิน เพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ.บัญญัติให้เงินกู้ตามร่างพรบ.นี้ นำไปใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ได้โดยไม่ต้องนำส่งคลัง ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง และบัญญัติให้คณะรัฐมนตรีรายงานการกู้เงิน ผลการดำเนินงาน และการประเมินผลการดำเนินการตามแผนงานในแต่ละยุทธศาสตร์ต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเพื่อทราบเท่านั้น
ซึ่งแตกต่างจากที่พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 อันเป็นกฎหมายเกี่ยวกับการจ่ายเงินแผ่นดินบัญญัติไว้ ทำให้การควบคุมตรวจสอบการใช้จ่ายเงินดังกล่าวไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ว่าด้วยกรอบวินัยการเงินการคลัง ดังที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูฐ หมวด 8 ว่าด้วยการเงิน การคลัง และงบประมาณ ร่างพรบ.นี้ ในส่วนดังกล่าวจึงขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ
ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีมติเอกฉันท์ว่า ร่าง พรบ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ….ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หมวด 8 ว่าด้วย การเงิน การคลัง และงบประมาณ
“ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ศาลจึงมีคำวินิจฉัยว่า ร่าง พรบ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ…. ตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติ แห่งรัฐธรรมนูญนี้และมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญซึ่งข้อความดังกล่าวเป็นสาระสำคัญของร่างพรบ.นี้ จึงมีผลให้ร่าง พรบ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ…. เป็นอันตกไป ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 154 วรรค 3"