"ยิงเด็กทำไม?" เสียงก้องจากผู้เป็นบิดา และชาวบ้านปะลุกาแปเราะ
เอ่ยชื่อบ้านปะลุกาแปเราะ แม้แต่คนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เองหลายคนก็ยังทำหน้างงๆ เพราะหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้อยู่ลึกเข้าไปจากทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 42 ถนนสายที่เป็นดั่งเส้นเลือดใหญ่เชื่อมต่อระหว่าง จ.ปัตตานี กับนราธิวาส ไกลหลายกิโลเมตร จนอาจนับได้ว่าเป็น "หมู่บ้านห่างไกล" ที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก
วันนี้ชื่อบ้านปะลุกาแปเราะกลายเป็นข่าวครึกโครมในสื่อมวลชนทุกแขนงเบียดแทรกข่าวความขัดแย้งทางการเมืองในส่วนกลางขึ้นมาได้ เพราะเป็นหมู่บ้านที่เพิ่งเกิดเหตุสลด คนร้ายใช้อาวุธสงครามยิงยกครัว "ครอบครัวมะมัน" ทำให้เด็กชาย 3 คน อายุเพียง 11 ขวบ 9 ขวบ และ 6 ขวบ ต้องสังเวยชีวิต
ส่วนพ่อกับแม่ของเด็กคือ เจะมุ มะมัน กับ พาดีละห์ แมยู ได้รับบาดเจ็บ โดยพาดีละห์อาการค่อนข้างสาหัสเนื่องจากตั้งครรภ์ได้ 4 เดือน แพทย์เพิ่งให้ย้ายจากโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ อ.เมือง จ.นราธิวาส ไปรักษาตัวต่อยังโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ล่าสุดอาการพ้นขีดอันตราย
ทางเข้าหมู่บ้านปะลุกาแปเราะอยู่เลยสะพานข้ามคลองกอตอซึ่งเชื่อมระหว่าง อ.สายบุรี จ.ปัตตานี กับ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส ไปไม่ไกล จุดสังเกตจะมีมัสยิดตั้งอยู่ปากทางในฝั่ง อ.บาเจาะ ผ่านจากมัสยิดแห่งนี้เข้าไปอีกประมาณ 3 กิโลเมตรบนถนนลาดยางที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อ ก็จะพบหมู่บ้านปะลุกาแปเราะ
จากในหมู่บ้าน เลี้ยวซ้ายเข้าถนนสายแคบ รถยนต์เข้าออกได้ทีละคัน ลึกเข้าไปเจอบ้านปลูกห่างๆ กัน 2 หลัง หนึ่งในนั้นคือบ้านของนายเจะมุ รอบๆ บ้านเป็นสวนผลไม้ สวนยางพารา และคอกสัตว์
บ้านหลังนี้เลขที่ 143/4 มีร่อยรอยกระสุนปืนปรากฏให้เห็นหลายจุด แต่ภายในบ้านไม่มีใครอยู่ เพราะนายเจะมุไปพักอยู่ที่บ้านพ่อกับแม่ที่บ้านจาเราะ ต.บาเจาะ ทว่าบรรยากาศก็ไม่ได้เงียบเหงา เพราะมีคนจากในพื้นที่และต่างถิ่นแวะเวียนกันเข้าไปเยี่ยม บางคนก็นำเงินไปวาง หรือใส่กล่องไว้เพื่อเป็นการช่วยเหลือ ถือเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของพี่น้องมุสลิมในพื้นที่สามจังหวัด
ในห้วงหวาดผวา
นอกจากบ้านหลังนี้แล้ว บ้านเรือนหลังอื่นๆ ในหมู่บ้าน และตลอดเส้นทางจากหมู่บ้านกอตอริมทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 42 เข้ามาหลายกิโลเมตรมีแต่ความเงียบ บ้านแทบทุกหลังปิดประตูหน้าต่างเสมือนหนึ่งไม่มีคนอยู่
"ชาวบ้านรู้สึกกลัวมาก แม้จะผ่านเหตุการณ์ร้ายมาได้ 2 วันแล้ว ชาวบ้านทุกคนก็ยังปิดบ้าน ปิดประตูกันหมด กลัวอะไรก็ไม่รู้ แต่ชาวบ้านบอกตรงกันว่ารู้สึกกลัว" เป็นคำอธิบายจาก เจ๊ะอาแซ โต๊ะแม ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านปาลุกาแปเราะ
เขาเล่าถึงอารมณ์ความรู้สึกของผู้คนในหมู่บ้านว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของเจะมุ เป็นเหตุการณ์ที่ชาวบ้านทุกคนรับไม่ได้เลย ตอนแรกชาวบ้านเข้าใจว่าเป็นการกราดยิงฐานทหาร เพราะลักษณะการยิงเท่าที่ได้ยินเสียง เหมือนเป็นเหตุการณ์ยิงปะทะกันมากกว่า คือยิงรัวก่อน หลังจากนั้นจะหยุด แล้วก็ยิงอีก 2-3 นัด แล้วก็ยิงรัวใหม่ สลับกันไปอย่างนี้พักใหญ่ กระทั่งเสียงปืนสงบ ชาวบ้านจึงพากันวิ่งเข้าไปดู
และสิ่งที่ชาวบ้านเห็นก็คือภาพการตายและบาดเจ็บอย่างอเนจอนาถ
"ผ่านประตูบ้านเข้าไปก็เห็นพาดีละห์กับอิลยาส ลูกคนเล็กวัย 6 ขวบนอนอยู่ใกล้กับประตู ส่วนคนรอง บาฮารี อายุ 9 ขวบอยู่ห่างจากประตูไป จึงพากันนำส่งโรงพยาบาล ชาวบ้านอีกกลุ่มหนึ่งไปหามูยาเฮด ลูกชายคนโตอายุ 11 ขวบ จนพบไปเสียชีวิตอยู่บริเวณคอกกระต่าย หลังจากที่กระโดดออกจากหน้าต่างบ้าน"
"เขาต้องการเก็บทุกคน"
"ตอนนั้นพาดีละห์ยังมีสติ เธอเล่าว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นตอน 2 ทุ่มกว่าๆ หลังจากเจะมุพาครอบครัวกลับบ้าน ขณะที่ทุกคนจะเปิดประตูขึ้นบ้าน ก็ได้ยินเสียงคล้ายคนเอาปืนมาขึ้นลำ ฉันก็ถามแฟนว่า 'อะไรหรือแบ' (สรรพนามเรียกผู้ชายที่เป็นสามี หรืออายุมากกว่า) จากนั้นเสียงปืนก็รัวมาเลย โดนที่ขาจนเราล้ม ลูกก็ล้มที่หน้าประตู ฉันวิ่งเข้าบ้าน แกล้งตาย ห่างจากประตู 3 ก้าวมีตู้บังอยู่ ส่วนสามีกับมูยาเฮดวิ่งออกไปทางครัวและกระโดดหนีไป คนร้าย 3 คนขึ้นมาบนบ้าน เขาต้องการเก็บทุกคน แต่ไปกระหน่ำยิงเด็ก คนร้ายน่าจะเข้าใจว่าเป็นอาแบ จึงรัวหลายนัด พอเสียงปืนสงบชาวบ้านก็เข้ามา"
เจ๊ะอาแซ บอกว่า เรื่องราวอันน่าสลดใจนี้กระทบความรู้สึกของเด็กๆ ในหมู่บ้าน ทุกคนล้วนตกใจที่เห็นเพื่อนของตัวเองถูกยิง หลังจากเกิดเหตุแท่บไม่มีใครกินข้าวได้เลย สิ่งที่ชาวบ้านตั้งคำถามมากที่สุด คือทำไมคนร้ายต้องกระทำกับเด็ก เรื่องนี้เศร้ามาก โดยเฉพาะมูยาเฮด เขาหนีแล้ว เขาหลบแล้ว แต่คนร้ายยังตามล่าชีวิตจนได้
"เด็กอายุเท่านี้ไปทำอะไรผิดถึงไปทำกับเขาขนาดนั้น ถ้าโกรธผู้ใหญ่ก็ไม่ควรไปลงที่เด็ก อยากเรียกร้องให้ทุกฝ่ายหาคนผิดมาลงโทษ อย่าใช้ความรู้สึกมาตัดสิน เอาความถูกต้องและความจริงมาพูดกัน อย่าทำให้ชาวบ้านรู้สึกแย่กับเจ้าหน้าที่ไปมากกว่านี้เลย แค่นี้ก็มากพอแล้วสำหรับคนที่นี่"
"เพื่อนผมทำผิดอะไร"
เด็กชายวัย 9 ขวบ เพื่อนสนิทของบาฮารี ซึ่งไปทำหน้าที่ต้อนรับผู้มาเยือนแทนเจ้าของบ้าน เล่าให้ฟังว่า เขาเรียนตาดีกาห้องเดียวกัน บาฮารี เป็นเพื่อนสนิทกัน ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด
"วันนี้บาฮารีตายไปแล้ว แต่ผมยังรู้สึกคิดถึง ผมมาดูจุดที่บาฮารีถูกยิง คืนที่เกิดเหตุเข้าใจว่าคนร้ายยิงด่านทหาร พอได้ยินเสียงปืนผมก็หมอบลงทันที กลัวกระสุนมาที่บ้าน ไม่ได้คิดว่าจะโดนบาฮารี แต่พอพ่อกับแม่บอกว่าโดนบาฮารีด้วย ก็รีบวิ่งมาดู ก็เสียใจที่เพื่อนต้องตาย อยากรู้เหมือนกันว่าบาฮารีทำอะไรผิด ไปทำเขาทำไม" เด็กชายกล่าว
บ้านที่ครอบครัวมะมันอาศัยอยู่ด้วยกันนั้น เป็นบ้านเก่าของครอบครัวพาดีละห์ จึงเท่ากับว่าเจะมุเป็นเขยของหมู่บ้านนี้ แต่ด้วยความที่เจะมุเป็นคนขยัน มีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือคน โดยเฉพาะการช่วยขนข้าวของต่างๆ ไปกับรถโชเล่ย์ประจำกาย (รถจักรยานยนต์แบบพ่วงข้าง) ทำให้คนในหมู่บ้านมีความรู้สึกที่ดีกับเจะมุ รวมทั้งลูกๆ ของเขาทุกคน
จริงๆ แล้วเจะมุมีลูก 4 คน คนโตเป็นผู้หญิง ชื่อ ด.ญ.รุสนะ มะมัน อายุ 13 ปี คืนเกิดเหตุเธอรอดชีวิตเพราะไปพักอยู่ที่โรงเรียนราชประชานุเคราะห์สายบุรี
ปากคำ "เจะมุ"
ทางด้าน เจะมุ ซึ่งหลบไปพักใจที่บ้านของพ่อกับแม่ เลขที่ 88 หมู่ 2 บ้านจาเราะ ต.บาเจาะ แต่ก็ยังมีคนตามไปเยี่ยมให้กำลังใจทั้งวัน
เจะมุ เล่าว่า รู้สึกแย่กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัว ตอนนี้ก็มึนๆ ไม่รู้จะทำอะไรกับตัวเองดี คงต้องหยุดตั้งหลักสักพักเพื่อให้เรื่องราวที่เกิดขึ้นนิ่งก่อน แล้วค่อยว่ากันใหม่ว่าจะเอาอย่างไร จะอยู่ที่ไหนดี
ทั้งนี้ ตลอดการพูดคุย เจะมุไม่ได้พูดถึงคดียิง นายมายี ดือเร๊ะ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ ต.ไทรทอง อ.ไม้แก่น จ.ปัตตานี จนเสียชีวิตเมื่อวันที่ 21 เม.ย.2555 ซึ่งขณะนี้เขาอยู่ระหว่างต่อสู้คดี และตำรวจเชื่อว่าเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เขาและครอบครัวถูกล่าสังหาร ทว่า เจะมุ กลับให้น้ำหนักไปที่คดีการลอบวางระเบิดสังหาร นายชยภัทร รักษายศ นายอำเภอไม้แก่น จนเสียชีวิตเมื่อ 19 มิ.ย.2550 ซึ่งเขาถูกเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงสงสัยว่าเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง จนนำไปสู่การควบคุมตัวและดำเนินคดี กระทั่งศาลพิพากษายกฟ้องเมื่อไม่นานมานี้
"ผมเสียใจที่ถูกมองและถูกกล่าวหาว่าไปทำอะไรที่ไม่ดีหลายๆ อย่าง จริงๆ แล้วผมไม่รู้และไม่ได้ทำ ไม่ได้ร่วมมืออะไรกับสิ่งที่ถูกกล่าวหาเลย ผมถูกควบคุมตัวเมื่อปี 2553 จากเหตุลอบวางระเบิดนายอำเภอไม้แก่น ถูกทหารคุมตัวไปที่บ่อทอง (ค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี) เป็นเวลา 25 วัน และถูกส่งไปเรือนจำปัตตานี ถูกฟ้องในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน กระทั่งได้ประกันตัวโดยใช้หลักทรัพย์ 5 แสนบาทเป็นหลักประกัน คดีนี้ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง คดีเพิ่งสิ้นสุดเมื่อเดือน มี.ค.ปีที่แล้ว"
"ระหว่างที่ผมได้ประกันตัวอยู่ เกิดเหตุยิงปะทะระหว่างฝ่ายขบวนการกับเจ้าหน้าที่เมื่อเดือน ก.พ.2556 (กรณี นายมะรอโซ จันทรวดี แกนนำกลุ่มก่อความไม่สงบคนสำคัญพร้อมพวกเข้าโจมตีฐานนาวิกโยธินที่บ้านยือลอ ต.บาเระเหนือ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 13 ก.พ.จนถูกวิสามัญฆาตกรรม 16 คน) ปรากฏว่าพี่เขยของผม (พี่ชายของภรรยา) คือ นายนาวาวี แมยู เสียชีวิตในเหตุการณ์นี้ด้วย ทำให้เจ้าหน้าที่สงสัยว่าผมมีส่วนเกี่ยวข้อง และมีเจ้าหน้าที่มาหาที่บ้านเพื่อนำตัวไป โชคดีมีผู้ใหญ่บ้านกับผู้ช่วยฯรับประกันความบริสุทธิ์ ทำให้ผมสามารถใช้ชีวิตตามปกติ จนกระทั่งมาเกิดเหตุครั้งนี้"
เมื่อถามย้ำถึงสาเหตุที่ทำให้ครอบครัวถูกปองร้าย เจะมุ ตอบว่า "ผมไม่รู้ แต่ที่มาที่อาจทำให้เกิดเหตุนี้ น่าจะมาจากเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวผม ก็อยากให้ทุกฝ่ายนำสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นบทเรียนในการเรียนรู้ปัญหา และขอให้เหตุการณ์ที่เกิดกับเด็ก เกิดกับครอบครัวของผมเป็นครอบครัวสุดท้าย ขออย่าให้มีอีก"
"บอกตรงๆ ผมก็อยากถามคนที่ทำเหมือนกันว่ามายิงเด็กทำไม พวกเขาทำผิดอะไร"
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ :
1 เจะมุ มะมัน ขณะหลบไปพักที่บ้านพ่อกับแม่
2 ร่องรอยความรุนแรง
3, 5 และ 6 ชาวบ้านแห่ไปเยี่ยมให้กำลังใจครอบครัวมะมันที่บ้านปาลุกาแปเราะ
4 เพื่อนตัวน้อยของบาฮารี