ถนนสายดนตรีในวิสคอนซิน-นิวยอร์ก-แอล.เอ.
"..ในยามที่สังคมมีแต่ความ“แก่งแย่ง”และ“ช่วงชิง” อำนาจและทรัพยากร เสียงดนตรีไม่ว่าจะมาจากชนชาติและภาษาใด มันช่วยลดทอนความหยาบกระด้างที่มีอยู่เต็มจนแทบจะล้นโลก ได้มากจริงๆ.."
แม้มีความแตกต่างกันในเรื่องอัตลักษณ์และโครงสร้างประชากรระหว่างวิสคอนซิน นิวยอร์ก และลอสแองเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา ทว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผู้คนทั้ง 3 รัฐ(รวมทั้งคนทั้งโลก)มีความสุขเหมือนกันคือเสียงดนตรี
ทุกเช้าวันเสาร์ ในเมืองแมดิสัน รัฐวิสคอนซิน ก่อนฤดูหนาวมาเยือนช่วงเดือนตุลาคม-ปลายเดือนพฤศจิกายน รอบๆที่ทำการแคปิตอล อาคารสัญลักษณ์ของรัฐ ทั้ง 4 ด้านจะมีตลาดนัดเกษตรกรที่เรียกว่า Farmer Market
ตลาดแห่งนี้ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลท้องถิ่นให้เกษตรกรนำพืชผัก ผลไม้ ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรจิปาถะมาจำหน่ายให้แก่ผู้บริโภคโดยตรง ตั้งแต่ช่วงฤดูใบไม้ผลิจนถึงก่อนฤดูหนาว เปิดขายตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงบ่ายเศษ
ขณะที่ผู้คนออกมาจับจ่าย สิ่งที่เพิ่มสีสันให้ตลาดแห่งนี้คือเสียงดนตรีของศิลปินเปิดหมวกดังมาจากมุมถนน STATE STREET หน้า The State Historical Museum ตั้งบรรเลงรมย์คละเคล้าอากาศหนาวเพิ่มความสุขให้ผู้จับจ่ายอย่างแทบจะหาที่เปรียบมิได้
บางสัปดาห์มีศิลปินเดี่ยวอย่างน้อย 2 คน ยึดมุมถนนอีกฟากและมุมตึกธนาคาร UW Credit Union ฝั่งตรงกันข้ามกับ The State Historical Museum เป่าปี่ ตีกลอง ประชันกึกก้องสะท้านทั่วบริเวณ
และเมื่อเดินเข้าไปชักภาพ ศิลปินผิวสีเสื้อแดงสูงวัยรายหนึ่งตะโกนสวน Are you Chinese?
ทำให้ต้องโต้ตอบทันที “No , I come from Thailand”
หลังวันนั้นเราก็เห็นศิลปินรายนี้วนเวียนให้ความสุขในบริเวณเดียวกันเป็นประจำเกือบทุกสัปดาห์ บางครั้งบางวันที่ไม่ใช่วันหยุดก็ยืนร้องอยู่ใน STATE STREET ดาวน์ทาวน์นั่นเอง
อีกด้านหนึ่งของมหานครนิวยอร์ก หลังพายุหิมะถล่มในช่วงต้นเดือนมกราคม 2557 ย่านไทม์สแควร์และบอร์ดเวย์กลับเข้าสู่ความคึกคักอีกครั้ง
ว่าไปแล้วนิวยอร์กเป็นเหมือนมหานครที่ไม่เคยหลับ เช้า บ่าย ยันดึก คลาคล่ำเนืองแน่นไปด้วยผู้คนจากทั่วสารทิศ เดินกันขวักไขว่ บางคนอยู่ในวัยทำงาน บางคนเป็นนักท่องเที่ยว บางรายมาเป็นคู่หนุ่มสารว บางรายมาเป็นครอบครัว โดยเฉพาะในช่วงบ่ายถึงค่ำจำนวนไม่น้อยออกมาสัมผัสแสงไฟระยับที่ประดับประดาบนตึกสูงเสียดฟ้า
แม้สายนี้จะเนื่องแน่นสักเพียงใดแต่ก็มี “ที่ว่าง”ให้แก่นักดนตรีเสมอ
ในวันที่เราไปเดินทอดน่องในย่านถนนสายนี้ เราเห็นศิลปินตั้งวงบรรเลงอยู่กับที่ บางรายเป็นศิลปินเดียว ที่เราเห็นในบ่ายวันนั้นคือหนุ่มใหญ่คาวบอย สวมกางเกงสั้นสีขาว ด้านหลังมีอักษร สวมหมวกและร้องเท้าบู๊ต สะพายกีตาร์ เดินอวดกล้ามโซโล่กีตาร์ไปตามถนน เรียกความสนใจจากสาวน้อยสาวใหญ่ บางคนเก็บความรู้สึกไม่ได้ ต้องเหลียวมอง จำนวนไม่น้อยขอเข้าไปถ่ายรูปคู่ไม่ถือสาแบบถึงเนื้อถึงตัว ทำเอาหลายคนอิจฉาพ่อศิลปินกล้ามโตไปตามๆกัน
ไม่เฉพาะบนพื้นโลก หากเดินมุดลงไปในชั้นใต้ดินของ SUBWAY หรือรถไฟใต้ดินก็เห็นศิลปินเปิดหมวกเช่นกัน กำลังบรรเลงอย่างออกรสและเมื่อเข้าไปถ่ายภาพ นักดนตรีนิรนาม กลับไม่ปฏิเสธ และไม่ถาม Are you Chinese? เหมือนศิลปินผิวสีที่วิสคอนซินแต่อย่างใด
นับเป็นเสน่ห์ที่ซ่อนลึกในความโกลาหลของเมือง
อีกฝั่งหนึ่งของสหรัฐ มีถนนสายหนึ่งในนครลอสแองเจลิส เรียกว่า Third Street จุดขายของที่นี่คือรัฐบาลท้องถิ่นปิดถนนสายนี้กินเนื้อที่ประมาณ 3 บล็อก(ช่วงตึก)ให้เป็นถนนคนเดินสำหรับนักท่องเที่ยวพาครอบครัวมาพักผ่อน
นอกจากร้านเสื้อผ้า รองเท้า แบรนด์เนม และของกินของที่ระลึกจำนวนมาก สิ่งที่เพิ่มมูลค่าให้ถนนสายนี้อย่างมากก็คือศิลปินเพลงนับรวมเกือบสิบชายหญิง ปักหลักเรียงรายสองข้างถนน บางคนใช้หมวก บางคนใช้ขวดโหลใส บางคนใช้กล่องกระดาษพร้อมซีดีเพลงตั้งรับบริจาค บางรายไม่ร้องเปล่าเต้นโชว์สเตปเท้าไม่ยั้ง เรียกความสนใจจากนักท่องเที่ยวแวะมุงดูไม่น้อย
บางทีธนบัตรและเศษสตางค์อาจไม่ใช่คำตอบสำหรับนักดนตรีแบกะดินเหล่านี้เสมอไป
เดินต่อไปไม่ไกลสัก 300-500 เมตรยังท่าเทียบเรือซานต้า โมนิก้า (SANTA MONICA PIER) สถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งซึ่งเป็นสะพานยื่นไปในทะเล
ก็มีศิลปินเปิดหมวกอย่างน้อย 2 คน บรรเลงรมย์ไม่ห่างกัน
นั่งฟังดนตรีที่นี่จะไม่เหมือนที่แห่งอื่นเพราะได้ยินเสียงพัดของลมทะเลคลอเสียงเพลงก้องกังวาน ยิ่งหากไปเดินเล่นในช่วงยามเย็นพระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า ความงดงามของธรรมชาติปรุงบรรยากาศได้ไพเราะจับจิตโอบกอดให้ลอยละลิ่วจนยากจิตนาการ
นี่คือมนต์เสน่ห์ของถนนสายดนตรีในสถานที่และห้วงเวลาที่แตกต่างกัน
ในยามที่สังคมมีแต่ความ“แก่งแย่ง”และ“ช่วงชิง” อำนาจและทรัพยากร
เสียงดนตรีไม่ว่าจะมาจากชนชาติและภาษาใด มันช่วยลดทอนความหยาบกระด้างที่มีอยู่เต็มจนแทบจะล้นโลก ได้มากจริงๆ
…
อ่านประกอบ: