“กี้ร์-อริสมันต์”ยก“ฮุนเซน”เทียบพ่อบังเกิดเกล้า "หนี้ชีวิต"ช่วยหนีตายปี 53
“ผมติดหนี้บุญคุณ ทั้งไทยและกัมพูชา โดยเฉพาะสมเด็จฮุน เซน พุดง่าย ๆ ว่าผมเรียกเขาว่าพ่อโดยไม่กระดากใจ เพราะถ้าไม่มีท่านผมคงตาย ไม่มีประเทศกัมพูชาผมคงตายด้วย”
“เชื่อไหม ผมบอก ไม่ได้หรอก ถ้าผมแพ้ ประชาชนจะแพ้หมด ฉะนั้นเราต้องเหลือไว้ ออกไปอยู่ตรงไหนก็ได้ แต่ต้องไม่ให้โดนจับ”
หนึ่งในคำบอกเล่าระหว่างหลบหนีการไล่ล่าจับกุมของเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ ขณะถูกทหารล้อมปราบสลายการชุมนุมที่สี่แยกราชประสงค์ ในเดือนพฤษภาคม 2553 จากปากคำของ “กี้ร์ – อริสมันต์ พงศ์เรืองรอง” อดีต ส.ส. พรรคเพื่อไทย (พท.) และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)
เหตุการณ์ครั้งสำคัญที่สุดในชีวิต ของ “แดงฮาร์ดคอร์” ที่ยังคงเป็นปริศนาค้างคาใจใครหลายคนว่า “อริสมันต์” ฝ่า “มวลมหาทหาร – ตำรวจ” ที่ล้อมปราบอยู่ในช่วงเวลานั้นออกมาได้อย่างไร? ใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการหลบหนีครั้งนี้บ้าง?
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ขอถ่ายทอดวินาทีระทึกในช่วงหลบหนีการจับกุมจากปากคำของ “กี้ร์ อริสมันต์” ฉบับละเอียดที่สุดเท่าที่เคยมีการเปิดเผยต่อสาธารณชน พร้อมความสัมพันธ์อันแนบแน่น กับ สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ช่วงที่ไปใช้ชีวิตอยู่ที่กัมพูชา ที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน
"วันนั้นผมอยู่กันสามคน ผม ณัฐวุติ (ใสยเกื้อ) จตุพร (พรหมพันธ์) คือเรียกว่ามือกอดคอกันหัวระดมกัน ก็คือตอนนั้นมีคนเสียชีวิตค่อนข้างเยอะแล้ว แล้วเป้าหมายที่เขาจะเอาคือผม เอาชีวิตแน่นอน ทั้งณัฐวุฒิ และจตุพร เขาก็พยายามให้ผมมอบตัวด้วยความรักในความเป็นเพื่อน
“พี่เชื่อผมถ้าอยู่ในฝูงชนเรามีโอกาสรอด แต่ถ้าพี่ออกไปข้างนอกแล้วไปเจอพวกนั้นจะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง” ณัฐวุฒิพูดด้วยความเป็นห่วงผม
ท้ายสุดก็คือว่าถึงแม้ว่าเราจะแถลงข่าวไปเมื่อคืนวันที่ 18 พฤษภาคม 2553 แต่ดูสถานการณ์พวกเขาคงไม่เก็บพวกเราไว้แน่ ถ้าเราต่อสู้ขัดขืนเราอาจต้องเสียชีวิตมากกว่านี้ สุดท้ายต้องตัดสินใจ
“ผมบอกว่า อยู่ก็อาจจะตาย ไปอาจจะตายเหมือนกัน แต่เราจะขอกำลังส่วนหนึ่งออกไปสู้ จะนำมวลชนไปจุดหนึ่ง ความเห็น 2 ต่อ 1 ณัฐวุฒิเลยขึ้นเวทีแถลงว่าจะสลายการชุมนุมกับจตุพร”
ผมก็นั่งตรงด้านขวา ตรงหน้านั้นเป็นหน้าของพระพรหม ฟังแถลงการณ์จนจบ เห็นทุกภาพ สุดท้ายก็พามวลชนเข้ามอบตัว ในขณะที่มอบตัว เสียงปืนก็ดัง แล้วทหารก็วิ่งเข้ามา เพื่อที่จะเคลียร์พื้นที่ ผมก็ตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไรดี และสุดท้ายก็เลยตัดสินใจว่า ต้องออก
“คนขายผ้า เขาบอก พี่ ยอมแพ้เถอะ ผมก็มอง ไอ้นี่เป็นใครวะ เป็นตำรวจหรือเปล่า บอกให้ยอมแพ้ได้ไง”
“เชื่อไหม ผมบอก ไม่ได้หรอก ถ้าผมแพ้ ประชาชนจะแพ้หมด ฉะนั้นเราต้องเหลือไว้ ออกไปอยู่ตรงไหนก็ได้ แต่ต้องไม่ให้โดนจับ คนขายเสื้อเพิ่งรู้ว่าชื่อปราโมทย์ก็บอก เอา โอเค ทั้งที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน”
“เสร็จแล้ว เขาบอก พี่ เปลี่ยนรองเท้าเถอะ ผมก็ถอดรองเท้า แล้วใส่รองเท้าเขา เปลี่ยนเสื้อด้วย ผมก็เปลี่ยน แล้วก็ทำผมกระเซอะกระเซิงหน่อย และใส่แว่น และเดินกอดคอไปกับเขา ด้านซ้ายผมบังเอิญมีร้านขายบุหรี่ พวกฮอลล์ ยาหม่อง ผมก็เลยสั่งบุหรี่ 10 มวน ไฟแช็กด้วย ผมก็เดินสูบบุหรี่ แล้วก็สูบแบบเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้”
ขณะที่กำลังจะเดิน มีหลวงพ่อโทรมา เราก็งงว่า เอ๊ะรู้จักเบอร์เราได้อย่างไร บริเวณนั้นสัญญาณถูกตัดหมด หลวงพ่อให้คาถาพรางตัว เราบอกอย่ามาพูดเล่นกับเรานะ ยิงกันขนาดนี้ มันไม่ได้แล้ว เราก็มีพระเนรศวร 1 องค์ หลวงพ่อฉุย 1 องค์ เราจึงขอพรจากหลวงพ่อให้ช่วย ให้พรางตาให้ด้วย
“พอท่องคาถาเสร็จปั๊บผมก็เดินออก เชื่อไหม ทหารตำรวจวิ่งสวนมาเป็นร้อย ไม่เห็นเรา”
เดินมาจนถึงหน้าบิ๊กซี ผมเลี้ยวขวา คราวนี้เหมือนเจอกองทัพ ก็เดินเข้าไป ตัดสินใจเอาวะ เห็นรถฮัมวี่ รถยีเอ็มซี จอดอยู่ ทหารเยอะ อารมณ์นั้นคิดว่าไม่รอด คนขายผ้าก็บอกว่า พี่ ยอมแพ้เถอะ หรือไม่ก็เข้าไปหลบบ้านเพื่อนผมก่อนตรงตีนสะพาน ผมบอก ไม่ได้หรอก คนขายผ้าก็ขาสั่น พี่ผมไปไม่ไหวแล้ว สุดท้ายมันก็ฮึด ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ขอส่งวีรบุรุษให้ถึงที่หน่อย เราก็เดินไป
ระหว่างเดินเสียงปืนก็ดังตลอด บนตึกมีทหารสไนเปอร์ทุกหน้าต่าง ขณะที่กำลังเดินออกไป ผู้หญิงคนหนึ่งส่งเสียงมาจากในบ้าน บอกมีทหารแอบยิงคนอยู่บนตึก ตะโกนเสียงดัง ทหารก็หลบลงไป ผมเห็นทหารหลบ ผมก็วิ่งไปหลบใต้ตึก
พอเดินไปถึงตรงมิดไนท์ไก่ตอน สี่แยกไก่ตอน ลูกน้องที่เป็นหน่วยนำทางก็ตะโกน นาย มอเตอร์ไซค์พร้อมแล้ว ๆ ทหารก็จ้องเลย ผมก็ไม่กล้าขึ้นมอเตอร์ไซค์ ผมก็เดินข้ามถนนไปอีกฝั่งหนึ่ง ฝั่งนั้นจะเป็นประตูน้ำคอมเพล็กซ์ เดี๋ยวนี้เปลี่ยนชื่อเป็นไรไม่รู้ เดินกอดคอไปกับคนขายเสื้อ
“คุณเชื่อไหม ฝั่งตรงข้ามมันก็มีหน้าต่าง มีสไนเปอร์ส่องผม ส่องมาตลอดทาง ผมก็ไม่กล้าหันไปมอง ได้แต่ชำเลือง แต่รู้ว่ามีแน่ ในใจยังคิดเลยว่า เม็ดไหนจะเป็นของเรา ฝังในหัวเรา”
อย่างไรก็ตามก็เดินผ่านไปเรื่อย ๆ แต่ตอนนั้นเหนื่อยมาก ก็ไปแวะนั่งตรงหน้าตึกแห่งหนึ่ง มีเสาใหญ่ ๆ ขณะนั้นก็มีเสียงปืนดัง เราก็อยากจะรู้ว่าข้างบนเรามีอะไรบ้าง ผมก็ล้มตัวลงนอน เพื่อจะดูในตึกว่ามีอะไรหรือไม่ เสียงปืนดังพอดี คนก็ตะโกนว่ามีคนโดนยิง
“ทหารที่อยู่ฝั่งโน้นก็วิ่งถือถุงดำเข้ามาจะมาหาผม คนข้างหลังเห็นทหารวิ่งมาก็วิ่งหนีกระเจิดกระเจิงไป ผมก็คิดว่าจะวิ่งก็กลัวโดนยิงข้างหลัง ก็ตัดสินใจเดินเข้าไปหา พอขณะที่จะเดินชนกันพอดี ผมเดินไปถึงศาลก่อน ผมก็กระโดดไปในศาลจีน ทำเป็นปัดกวาดเช็ดถู จนกระทั่งทหารไม่เห็นว่ามีคนตายเลยเดินกลับไป พวกทหารที่อยู่ในซอยก็เดินออกมา ผมเห็นทหารเดินออกมา ผมก็ขอพรจากศาลว่าขอให้รอด แล้วก็เดินหนีซอกแซกไปในซอย”
เดินไปจนเจอวินมอไซค์จอดอยู่กลางซอย ซึ่งวินมอเตอร์ไซค์คนนั้นไม่รู้หรอกว่าผมเป็นใคร ผมบอกว่าให้ตามรถลูกน้องผมที่นำไปก่อนแล้ว หลังจากนั้นก็ไปเจอด่านตำรวจ วินเขาไม่รู้ว่าอริสมันต์ซ้อนท้าย ก็รี่เข้าไปหาตำรวจ ตำรวจก็มองซ้ายมองขวามองแล้วมองอีก เขาคงคิดว่าทำไมอริสมันต์ดูโทรมจัง แล้วก็ปล่อยไป
“พอถึงด่านตำรวจที่ 2 ซึ่งยังไงก็ต้องออกด่านนี้ เพราะด้านซ้ายเป็นทางรถไฟมันก็ไม่มีทางไป ด้านขวาก็เป็นตึกเราก็คิดว่า เสร็จแน่ ทหารเป็นร้อย มันมี 2 ช่อง ช่องมีผู้โดยสาร กับไม่มีผู้โดยสาร วินก็ขับรี่เข้าไปหาทหาร ไปในช่องที่มีผู้โดยสาร ทหารพูดว่าไม่มีผู้โดยสารจะเข้ามาทำไม แต่ความจริงแล้วมีผมนั่งซ้อนท้ายมอไซค์อยู่”
หลังจากนั้นมีรถอยู่คันหนึ่งเห็น เป็นรถแจ๊สสีดำ พุ่งมาเลย เพราะเห็นว่าเราไม่ได้รับการตรวจ ตามมาเรื่อยจนถึงสี่แยก อสมท. มันก็เบิ้ลเครื่องพยายามให้หันไปดู ผมไม่สนใจ มองกระจกข้างอย่างเดียว มันก็ขับตามมาเรื่อยผ่านสี่แยกห้วยขวาง ผ่านมาถึงสี่แยกสุทธิสาร ผมสั่งเลี้ยวกระทันหัน พอเลี้ยวเสร็จ รถคันดังกล่าวก็เลี้ยวตามมา ผมก็เลี้ยวขวาเข้าไปในซอยอินทามะระ 32 อย่างว่ารถมันเยอะ มันก็ตามไม่ทัน ผมก็สลัดหลุด พอขับออกมาถนนรัชดาภิเษก และก็เลี้ยวไปเข้าตรงถนนลาดพร้าว
“หลังจากนั้นมีโทรศัพท์เข้ามา ลูกน้องที่เป็นนาวิก นายครับ เขาสั่งจับตายนายแล้ว แล้วนายไม่มีคนคุ้มครอง นายต้องกลับมาก่อน อันตรายมาก ผมบอก กลับไม่ได้แล้ว ไปเจอกันชายแดนแล้วกัน”
“หลังจากนั้น มันเหมือนในหนัง แบตกำลังจะหมด โทรหาใครก็ไม่ติด สุดท้ายแบตจะหมด ผมโทรบอกคนที่นัดรถกันว่า พี่มาเจอผมที่ซอยพหลโยธิน 24 เข้ามาลึก ๆ หน่อย พี่จอดข้างทางเดี๋ยวผมไปหาพี่เอง”
ขณะเดียวกันตอนนั้นผมยังอยู่ในซอยลาดพร้าว 15 คุณเชื่อไหม ซอยลาดพร้าว 15 คือซอย RS ผมอยู่ RS มาสิบปี ผมหลงในซอยนั้น ออกไม่ถูก เชื่อหรือไม่ มันเหมือนกับพระจัดสรรเวลาให้ว่าคุณต้องเสียเวลาก่อน
ระหว่างหลงวินก็ถามว่าออกไปซอยพหลโยธิน 24 ยังไง จึงไปถามคนขายกล้วยแขก เขาก็มองผมแปลก ๆ ผมเชื่อว่าเขาจำผมได้ แต่เขาก็ยังสงสัยถ้าเป็นอริสมันต์ก็ต้องออกถูก อันนี้คงไม่ใช่
“ถ้าตอนนั้นเขาเอะใจว่าเป็นผมจริง ๆ เขาโทรศัพท์บอกตำรวจ ผมโดนจับแน่”
หลังจากนั้นก็มาจอดหน้าโรงเรียนสันติราษฎร์ เดินไปขึ้นรถพอขึ้นรถเสร็จลูกน้องอีกคนที่ขับไปก่อน ไปรอตึกชินวัตร 3 ซอยสุภาลัยพาร์ค เลี้ยวไปรับเขา พบว่ามีกองทัพที่ตึกชินหลายพันคน คิดในใจว่าออกไม่ได้แน่ ๆ แล้วรถที่รับเราเป็นเบ๊นซ์ เราคิดว่าตายแล้วชัวร์
อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นลูกน้องก็ช่วยเปลี่ยนรถ นั่งรออยู่สักพักหนึ่ง ก็เปลี่ยนรถเป็นรถตู้ส่งของเก่า ๆ ผมก็คิดว่า ตายแล้ว จะถึงไหมเนี่ย ก็เปลี่ยนจากรถเบ๊นซ์คันนั้นมาขึ้นรถคันนี้
“พอเคลื่อนตัวออกไปก็เลี้ยวซ้ายกำลังจะขึ้นสะพานพระราม 7 ผมฟังวิทยุ ทุกด่านกำลังตามหาตัวผมให้ควั่ก แล้วรถติดมาก ผมเลยตัดสินใจไม่ขึ้นสะพานประชานุกูล เลี้ยวขวาเข้าทางประชาชื่นแทน ไปทางปทุมธานี สุพรรณบุรี แล้วโทรเรียกรถมารับเรา เดินหน้าเต็มตัวมุ่งหน้าสุพรรณ เจอที่ไหนเปลี่ยนที่นั่น และให้แวะซื้อโทรศัพท์ใหม่ 3 เครื่องให้ด้วย”
นัดแนะกันว่าไปเจอกันที่กิโลเมตรที่ 60 แต่ลูกน้องบอกว่าคนที่มาส่งผม ผมก็ไม่เคยรู้จักมาก่อน ไม่เคยคุยกันมาก่อน แต่เขาเสียสละมารับผมไปส่งทั้ง ๆ ที่ถ้าเขาโดนจับเขาอาจจะไม่รอดด้วย พอมาเจอรถที่มารับเรา เขาก็ให้พระให้ชานหมากหลวงปูชา ผมก็ใส่ ก็ออกจากตรงนั้นไป ห่างกันสิบกิโล ให้รถคันหน้าโทรแจ้งตลอดว่ามีอะไร
และด้วยความที่เราลงพื้นที่หาเสียงเอยะ จึงขับรถเดินทางสายตำบล ถึงสุพรรณบุรี ก็เข้าไปในอำเภอต่าง ๆ ไปทะลุที่ชัยนาท ผ่านชัยนาทเข้าอำเภอไพศาลี จังหวัดนครสวรรค์ ไปจนถึงอำเภอชัยบาดาล อำเภอลำนารายณ์ อำเภอเทพสถิต วกเข้ามาใหม่เพื่อที่จะขึ้นถนนมิตรภาพ เพื่อจะไปออกทางด้านสุรินทร์
“เดิมทีเขาจะเอาผมไปอยู่ชั้น 25 ที่คอนโด ผมบอกไม่ได้ อาจต้องอยู่หลายปี สุดท้ายก็เลยเปลี่ยนเส้นทางรถไปทางนู้น เพราะตอนแรกจะลงใต้ ไปออกทะเล แต่คิดว่าตรงนั้นไม่ปลอดภัย”
ก่อนที่จะขึ้นมิตรภาพ หลวงพ่อโทรมาอีก โยมอริสมันต์ ยังไม่รอดนะโยม แม้ว่าจะได้ข่าวว่าถูกจับแล้ว โดนยิงแล้ว เสียชีวิตแล้ว แต่โยมยังไม่รอดนะ ผมเลยถามว่า อ้าว หลวงพ่อจะให้ทำอย่างไร ให้ตั้งอธิษฐานไว้ ให้ระลึกถึงหลวงปู่นาคไว้ ผมก็เอาพระขึ้นมา หลวงพ่อก็สวดคาถาทางโทรศัพท์
ไม่เกิน 5 นาที รถผมก็ขึ้นมิตรภาพ ทีนี้ขณะขึ้นมิตรภาพด้วยกัน รถคันนำก็ยังช้าอยู่ ยังชิดกันอยู่ พอขึ้นปั๊บ ขับไปยังไม่ถึงกิโลเมตรเลย เจอกองทัพภาค 2 กั้นถนนไว้หมดเลย รถคันหน้าก็พยายามจะเลี้ยวกลับ ผมบอกว่าให้รถเราขับดี ๆ ไม่ต้องมีพิรุธ ก็ขับไป
“หลังจากนั้นทหารวิ่งมาประมาณ 10 กว่าคน ปืนจ่อเลย รถคันหน้าลงหมด เราก็บอก ตายแล้ว จบแล้ว ชีวิต เสร็จแล้ว เป็นไงเป็นกัน ผมก็เอาหัวพิงเบาะ ปากสูบบุหรี่ อีกข้างคุยโทรศัพท์ คุยอะไรไม่รู้เรื่องตอนนั้น จำไม่ได้เลย ทหารก็วิ่งเข้ามาลดกระจกลง ถามว่าไปไหนกัน คนรถบอกว่าไปแต่งงานหนองสองห้อง แถว ๆ ขอนแก่น เสร็จแล้วก็วนถามอีก ก็ตอบอีกว่าไปแต่งงาน มันก็ชะโงกหน้ามาดู ไปกันสองคนเองเหรอ คนรถบอกว่า ครับ แต่ในรถนั้นไม่ได้มีแค่สองคน มีทั้งหมด 4 คน”
“มีคนขับ ผมนั่งหลังคนขับ มีตำรวจ แล้วก็มีบอดี้การ์ด ผมนั่งเปิดกระจก แต่ทหารกลับเห็นโล่ง ๆ นี้แหละ”
ขับไปคราวนี้ผมรู้แล้ว ผมต้องใช้เส้นทางสายตำบลอีก เพราะยังไงก็ต้องผ่านมิตรภาพ จนไปถึงอำเภอสูงเนิน ขับไปพอใกล้พิมาย ผมก็เลี้ยวขวา มันก็จะไปทางสายขรุขระผ่านไปที่อำเภอสะตึก และเข้าไปที่จังหวัดสุรินทร์ เราก็เกาะเส้นทางสายที่มีรถไฟ พอถึงสุรินทร์ เรารู้ทันทีว่า ด่านด้านนี้มันเยอะ ผมก็เลยหักเลี้ยวกลับเข้าอำเภอปราสาท
พอเลี้ยวกลับ ผมเห็นฝั่งตรงข้ามเป็นด่านที่สกัดจับผมโดยเฉพาะ และเห็นแบงค์กรุงเทพทุกแบงค์มีทหารตำรวจเฝ้าดูแลอย่างดี ทีนี้พอผ่านแหล่มการค้าที่ช่องจอม ก็มีทีมงานบอก พี่ ผมเอาตำรวจมารอรับพี่นะ
“ผมก็บอกว่า เอาตำรวจมารอรับทำไม แต่ลูกน้องบอกว่า ตำรวจจะพาข้ามแดน ผมเลยบอก เฮ้ย มาถึงขนาดนี้ทำไมต้องใช้บริการตำรวจ ตอนนี้มีค่าหัว 10 ล้าน มันไม่หักหลังเหรอ”
หลังจากนั้นผมคิดว่า ไม่เป็นไร แล้วเพื่อนก็บอกว่า ไม่มีปัญหา เป็นพวกเรา 100 เปอร์เซ็นต์ไว้ใจได้ ก็ไปเจอกันที่จุดนัดหมาย หลังจากนั้นพอพบกันก็ให้ลูกน้องลงไปรายงานตัวว่าเป็นผู้กอง ให้บอกเขาว่า วีไอพีข้ามไปแล้ว แต่มีสินน้ำใจที่จะให้พวกพี่ ๆ ตำรวจไปรับเอาฝั่งนู้น
“หลังจากนั้นระหว่างเดินทาง ลูกน้องทุกคนสไลค์ปืนหมด ถ้าตุกติกอะไรก็เล่นเลย เรียกว่าเอาให้เละให้หมด”
“พอไปถึงด่านที่มีการประสานเรียบร้อย ก็เปิดไฟกระพริบหน้ารถ ด่านก็เปิด เราก็ข้ามไป พอข้ามไปเสร็จปั๊บ ผมก็เอาเงินไปให้คนละ 5,000 บาท ตำรวจสี่คน ตอนนั้นมีเงินติดตัวไม่เยอะ ผมมีเงินประมาณไม่น่าเกิน 50,000 เพราะว่าเรามีงบวันละ 50,000 บาท ก็เรียบร้อย”
พอถึงนั่นปุ๊บ ทางฝั่งกัมพูชา เขาดูแลเราอย่างดี เราจึงเขียนว่า ทหารไทยไล่ฆ่า ทหารกัมพูชาผู้ปกป้อง เขียนแล้วก็ทิ้งไว้ตรงนั้น
เสร็จแล้วผมก็กลับเข้าไปพนมเปญ ช่วงนั้นเข้าพนมเปญได้พักหนึ่ง อยู่โรงแรมก่อน แล้วก็ออกจากพนมเปญ แล้วก็ย้ายสลับไปเรื่อย ๆ ไม่เป็นที่ ชายแดนลาวบ้าง ชายแดนเวียดนามบ้าง จนกระทั่งสถานการณ์ดีขึ้น เราก็กลับเข้ามาในพนมเปญอีกทีหนึ่ง
“ในช่วงตอนนั้นก็ ถามว่ามันยากลำบากไหม มันก็ยากลำบากเหมือนกัน เพราะเราไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้ และตอนนั้นก็รู้สึกเหมือนกับว่ามันคิดสองอย่าง เหมือนกับตอนพฤษภาทมิฬ เราก็เคยหนีไปรอบหนึ่ง ครั้งนี้ทำไมเราต้องหนีด้วย พฤษภาทมิฬก็หนีไปยาวเหมือนกัน ครั้งนี้อาจหนียาวกว่า และคิดว่าคงไม่ได้กลับ คราวนี้เราก็ตระเวนโลก มีพาสสปอร์ตพิเศษ สำหรับนักต่อสู้ทางประชาธิปไตย มีหลายประเทศให้ ก็ให้ไปที่ไหนบ้าง รัสเซีย ดูไบ บรูไน พม่า จีน ยุโรป เฉลี่ย ๆ แบ่งไป และเราก็คิดว่า เราจะลี้ภัยทางการเมือง คิดว่าคงไม่ได้กลับเพราะว่าเราถูกกล่าวหาว่าล้มล้างสถาบันเป็นเรื่องใหญ่”
หลังจากนั้นเมื่อเข้าไปในกัมพูชา ก็ได้ “นายใหญ่” คุณทักษิณ (ชินวัตร) และสมเด็จฮุน เซน ให้การช่วยเหลือค่าใช้จ่ายต่าง ๆ
“เราติดหนี้บุญคุณ ทั้งไทยและกัมพูชา โดยเฉพาะสมเด็จฮุน เซน พุดง่าย ๆ ว่าเราเรียกเขาว่าพ่อโดยไม่กระดากใจ เพราะถ้าไม่มีท่านผมคงตาย ไม่มีประเทศกัมพูชาผมคงตายด้วย”
ทั้งหมดนี้คือช่วงวินาทีระทึกของ “กี้ร์ อริสมันต์” ระหว่างหลบหนีการจับกุมของมวลมหาทหารและตำรวจ ที่แพรวพราวราวกับ “หนังฮอลลีวู้ด” มีการแสดงอภินิหาร “หายตัว” ให้เป็นที่น่าตกตะลึง และชวนฉงนในบางครั้ง
อย่างไรก็ดี น่าสนใจว่าในการเลือกตั้งครั้งนี้ (ถ้ามีเกิดขึ้นจริง) “กี้ร์ อริสมันต์” ได้ลงสมัคร ส.ส. ด้วย โดยระบุว่า “ผู้ใหญ่” ในพรรคเพื่อไทยขอร้อง
ส่วนจะมีบุญวาสนา ขึ้นชั้นนั่งเก้าอี้ รมต. เหมือนแกนนำเสื้อแดงคนอื่น หรือไม่ คงต้องจับตาดูกันต่อไป