เทียบมาตรการตัดท่อน้ำเลี้ยง ยุค “ศอฉ.” Vs ยุค “ดีเอสไอ”
การชุมนุมของ “คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” (กปปส.) ที่นำโดย “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ส่อเค้าจะยืดยื้อยาวนาน
ทำให้ “รัฐบาลรักษาการ” ต้องงัดสรรพอาวุธทั้งไม้แข็ง-ไม่อ่อน มาสู้ เพื่อต้อนมวลมหาประชาชนของ “กปปส.” กลับเข้าสู่ที่ตั้ง มุ่งสู่การเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557
ล่าสุด จู่ๆ “ธาริต เพ็งดิษฐ” อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ออกมาสั่งอายัดบัญชี 18 แกนนำกปปส. ตรวจสอบเส้นทางการเงินและบรรดา “ท่อน้ำเลี้ยง” เพื่อตัดไฟแต่ต้นลม
ภายหลังคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) มีมติให้ดีเอสไอรับโอน คดีที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมโดย กปปส.กว่า 20 คดี เป็นคดีพิเศษ
ทว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการตัด “ท่อน้ำเลี้ยง” ของการชุมนุม เพราะในการชุมนุมของกลุ่ม “แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ” (นปช.) ช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2553 “รัฐบาลประชาธิปัตย์” ที่มี “สุเทพ เทือกสุบรรณ” เป็นผู้อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ผอ.ศอฉ.) เคยมีมาตรการดังกล่าวมาแล้ว
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org จึงรวบรวมข้อมูลและขั้นตอนการอายัดบัญชี “ท่อน้ำเลี้ยง” มาเปรียบเทียบความเหมือนความต่างให้เห็น
@ “ศอฉ.” อายัด 106 บัญชี
การห้ามสถาบันทางการเงินตามกฎหมาย ดำเนินธุรกรรมทางการเงินกับ 106 บุคคล เป็นนิติบุคคล 13 รายการ โดย “ศอฉ.” อาศัยอำนาจตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในการออกคำสั่งเรียกทั้ง 106 บุคคล มาดำเนินการสอบสวน
“ศอฉ.” มอบหมายให้ “สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)" เป็นผู้ดำเนินทั้งหมด เพราะมีความเชี่ยวชาญด้านการเงินมากเป็นพิเศษ
โดย “ศอฉ.” อ้างนำเหตุผลที่ “ศาลอาญา” มีคำพิพากษาว่าการชุมนุมของ “นปช.” ไม่ชอบด้วยกฎหมาย มาประกอบเป็นเหตุผลหนึ่งในการออกคำสั่งดังกล่าว เพื่อเพิ่มน้ำหนัก-เพิ่มความชอบธรรม และป้องกันไม่ให้โดนฟ้องกลับ
ที่สำคัญขั้นตอนของ “ศอฉ.” เปิดโอกาสให้ 106 บุคคล ที่ถูกอายัดบัญชี-งดดำเนินธุรกรรมทางการเงิน เข้ามาให้ปากคำและชี้แจงที่มาที่ไปของเงินในบัญชี ว่ามีส่วนสนับสนุนการชุมนุมของ “นปช.” หรือไม่
หากสามารถชี้แจงที่มาที่ไปของเงินในบัญชีได้ “ศอฉ.” ก็จะไม่อายัดบัญชี จึงปรากฏภาพ “พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” “พงษ์ศักดิ์ รักตพงษ์ไพศาล” เป็นต้น เดินทางมายังกรมทหารราบที่ 11 เพื่อชี้แจงต่อคณะกรรมการที่ “ศอฉ.” ตั้งขึ้น
ทว่าการอายัดบัญชี-งดดำเนินธุรกรรมทางการเงิน กลับไม่ได้ช่วยให้การชุมนุมเบาบางลง เนื่องจากมีข่าวมาตลอดว่าการชุมนุมของ “นปช.” ไม่ได้มีการโอนเงินผ่านบัญชี เพราะต้องการหลบเลี่ยงการตรวจสอบ
แต่อาศัยการขนเงินใส่กระเป๋า หิวเข้ามาสนับสนุนการชุมนุมแทน
@ “ดีเอสไอ” อายัดบัญชี 18 แกนนำกปปส.
“ธาริต” ใช้อำนาจตามมาตรา 24 แห่ง พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ ออกคำสั่งแจ้งไปยัง 30 ธนาคาร ให้อายัดบัญชีแกนนำกปปส. 18 คน ในทุกบัญชี รวมทั้งให้ส่งหลักฐานการเดินบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน
โดย “ธาริต” สั่งให้เจ้าที่ดีเอสไอเป็นคนสืบสวนสอบสวนทั้งหมด ไม่ได้ให้ “ปปง.” เข้ามาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด
ก่อนหน้านี้ ศาลรัฐธรรมนูญ เคยยกคำร้องที่มีผู้ืขอให้วินิจฉัยว่า การเคลื่อนไหวของ “กปปส.” ที่มีการบุกยึดสถานที่ราชการต่างๆ เป็นการล้มล้างการปกครองหรือไม่ โดยให้เหตุผลว่า เนื่องจากการชุมนุมของ กปปส.เป็นใช้เสรีภาพการชุมนุมโดยสงบ และปราศจากอาวุธ
ดังนั้นการออกคำสั่งอายัดบัญชีของ “ธาริต” จึงไม่มี "คำสั่งศาล” มารองรับการดำเนินการ แตกต่างจากครั้ง ศอฉ.
อีกทั้ง “ธาริต” ไม่ได้เปิดโอกาสให้ 18 แกนนำกปปส. เข้าชี้แจงที่มาที่ไปของเงินในบัญชี
เพียงแค่เรียกให้มารับทราบข้อหาต่างๆ โดยเฉพาะข้อหากบฎ ระหว่างวันที่ 26-27 ธันวาคม 2556 เท่านั้น
จึงปรากฏภาพของ “สาทิตย์ วงศ์หนองเตย” แกนนำกปปส. ซึ่งเคยนั่งอยู่ในศอฉ. ด้วย ออกมาดักคอทันควันว่า อาจจะเข้าขายปฏิบัติโดยมิชอบ
ทั้งหมดคือข้อเปรียบเทียบมาตรการตัดท่อน้ำเลี้ยง 2 ยุค ระหว่าง “ศอฉ.” ในปี 2553 กับ “ดีเอสไอ" ในปี 2556
ภาพจาก www.mthai.com