'เดิน วิ่ง ปั่น ต้านโกง' เช็คจุดยืนคนไทยเหตุต้องโบกมือลาคอร์รัปชั่น
น่าตกใจมิใช่น้อย ที่ดัชนีคอร์รัปชันโลกปี '56 ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ประเทศไทยร่วงลงไปถึง 16 อันดับจาก 88 เป็น 102
18 ปี ถือเป็นครั้งแรกที่ ดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชันไทยตกไปไกลมาก อยู่อันดับต่ำกว่า 100 สะท้อนให้เห็นว่า การทุจริตคอรัปชั่นในบ้านเมืองเราอาการหนักจริงๆ
สอดรับกันพอดี ที่องค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) จัดกิจกรรมและเชิญชวนให้คนไทยออกมาแสดงพลังเพื่อประกาศเจตนารมณ์ว่า เรารับไม่ได้ และไม่ต้องการให้มีการโกงทุกรูปแบบ ผ่านกิจกรรม "เดิน วิ่ง ปั่น ต้านโกง" ตั้งแต่เช้ามืดของวันอาทิตย์ ที่ 15 ธันวาคม 2556
ระยะทางในการวิ่งนั้น ระยะทางอยู่ที่ 10 กม. เดิน 5 กม. และปั่น 8 กม. ภายหลังจากเข้าสู่เส้นชัยแล้วผู้ร่วมกิจกรรมทุกคนจะได้รับเหรียญที่ระลึกแห่งอุดมการณ์ต่อต้านคอร์รัปชั่น โดย 3 กิจกรรมดังกล่าวถูกนำมาใช้ในเชิงสัญลักษณ์เพื่อแสดงให้เห็นว่า พวกเขาเหล่านี้รับไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา มีโอกาสเข้าร่วมสังเกตการณ์กิจกรรมดังกล่าว พร้อมสัมภาษณ์ความเห็นของผู้ร่วมกิจกรรม เดิน วิ่ง ปั่น ต้านโกง ว่า การรณรงค์เชิงสัญลักษณ์ในลักษณ์นี้จะกระตุ้นจิตสำนึกและเรียกคืนจริยธรรมของประชาชนคนไทยให้ลุกขึ้นมาประกาศไม่เอาการคอร์รัปชั่นได้มากน้อยเพียงใด
คนแรกศ.กิตติคุณ ดร.ธงชัย พรรณสวัสดิ์ ผู้ก่อตั้งชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพแห่งประเทศไทย หนึ่งในผู้ร่วมกิจกรรมปั่นต้านโกง มองว่า การรณรงค์คือการทำงานเชิงสัญลักษณ์ ซึ่งกิจกรรมของการเดิน วิ่ง เป็นเรื่องกระแสสังคมที่คนให้ความสนใจ ดังนั้นจึงมีการเอารูปแบบที่กระแสสังคมกำลังสนใจมาสร้างสัญลักษณ์
หากถามว่า เสร็จแล้วคนจะต้านโกงจริงหรือไม่นั้น เขาเห็นว่า ทุกอย่างล้วนอยู่ที่จิตใจ และกิจกรรมนี้รณรงค์เพื่อที่จะบอกคนทั้งประเทศว่า ยังมีคนไทยอีกเป็นจำนวนมากที่เห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ
"ไม่ใช่ว่าขี่จักรยานเสร็จ เดินเสร็จวันนี้เราการรณรงค์จะหายไป"
และในฐานะที่เป็นหัวขบวนขี่จักรยานนำ มอบไปรษณียบัตร คำปฏิญาณของชุมชนให้แก่ผู้แทนองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ ดร.ธงชัย บอกว่า เพียงแค่เริ่มกิจกรรมก็มีไปรษณียบัตรจาก 20 หมู่บ้านเขียนมาถึงองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่นว่า รับไม่ได้กับการทุจริต และพร้อมจะช่วยสอดส่องรายงานพฤติกรรมที่เห็นว่า จะเป็นการทุจริต
นี่แค่เริ่มก็มีการตอบสนองมีการแสดงพลัง แม้เขาเหล่านั้นจะไม่มีโอกาสมาร่วมการณรงค์ แต่ก็ส่งไปรษณียบัตรมาเป็นกำลังใจเป็นหมื่นๆ ฉบับ เหล่านี้ ใช่หรือไม่ เป็นครื่องหมายที่บ่งบอกว่า คนไทยตระหนักรู้และตื่นรู้ และหากใครยังเฉยและไม่ทำถือเป็นเรื่องเชย...
ดร.ธงชัย ตั้งความหวังว่า หากเปิดเรียนแล้วโรงเรียนต่างๆ จะต้องพูดกิจกรรมในลักษณะนี้ในโรงเรียน ครูต้องบอกให้เด็ก "โตไปไม่โกง" อีกทั้งยังเชื่อว่า กระแสที่เรากำลังปลุกให้เกิดขึ้น จะทำให้พรรคการเมืองที่จะเข้ามาเป็นผู้ปกครองประเทศ โกงแบบเดิมไม่ได้อีกแล้ว โกงในเชิงนโยบายก็ไม่ได้
หรือแม้กระทั่งแก้กฎหมายผิดแล้วแก้ให้ถูก เขาเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่า จะไม่เกิดขึ้นอีก !! เพราะหากทำอีกคนไทยจะไม่ยอม
"ผมคิดว่าพรรคการเมืองใดคงไม่กล้าทำ เพราะปรากฎการณ์ของมวลชนที่ออกมาแสดงพลังที่ผ่านมา ความแรงที่กระแทกเข้าไป คงจะกระเทือนใจนักการเมืองบ้าง แต่ถ้ายังกล้าทำอีก ก็ถือว่าหนังหนามาก"
จริยะธรรมกับหลักการของกฎหมาย จริยะธรรมคือสิ่งที่อยู่ในใจ กฎหมายคือตัวหนังสือที่มนุษย์เขียนขึ้น ดังนั้นจริยธรรมจึงใหญ่กว่ากฎหมาย ใหญ่กว่าตัวหนังสือ ดร.ธงชัย ทิ้งท้าย ก่อนจะปั่นจักรยานคันเก่งกลับบ้านว่า
"เราจะเอาตัวหนังสือมาบังคับใจไม่ได้ ถ้าคนมีจิตใจดีก็จะไม่แก้กฎหมายที่ผิดให้เป็นถูก ดังนั้นจริยธรรมต้องสูงกว่ากฎหมาย ถึงอย่างไรก็ตามทุกคนควรมีคุณธรรมจริยธรรมอยู่ภายในจิตใจ”
ใช่มีแค่คนกรุงเทพเท่านั้นที่เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ หลายคนมาจากจังหวัด เช่น ดร.ประเชิญ ตรีเนตร์ จากภาควิชารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยพิษณุโลก ก็ตั้งใจเดินทางมาเข้าร่วมกิจกรรมเดินต้านโกงในครั้งนี้ด้วย
ดร.ประเชิญ เล่าว่า เดินทางจากพิษณุโลกก่อนหนึ่งวัน เพื่อมาร่วมกิจกรรม หลังทราบข่าวจากเฟชบุ๊ก
"ผมเห็นว่า ในวงการข้าราชการมีการทุจริตคอร์รัปชั่นค่อนข้างมาก ดังนั้นการออกมาเดินหรือทำกิจกรรมในเชิงสัญลักษณ์อย่างน้อยก็เป็นการกระตุ้นให้คนในสังคมเห็นว่า ไม่ควรมีเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่นอยู่ในสังคมอีกต่อไป"
เมื่อถามว่าเราไม่ควรเอาเรื่องคุณธรรมความดีมาโยนเข้ากับการเมืองหรือระบอบประชาธิปไตย จะอธิบายอย่างไร อาจารย์จาก ม.พิษณุโลก เห็นว่าเรื่องคุณธรรมจริยธรรมมีมาก่อนระบอบประชาธิปไตยด้วยซ้ำ และเป็นเรื่องที่อยู่ภายใต้จิตสำนึกของแต่ละบุคคล
"ผมว่า เราไม่สามารถที่จะแยกเรื่องคุณธรรมจริยธรรมออกจากระบอบประชาธิปไตยได้ หลักการที่ว่าต้องเคารพสิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ก็คือการเคารพให้เกียรติและมองเห็นทุกคนเป็นคนเหมือนกัน แต่ไม่ได้หมายความว่า เราจะอยู่กันอย่างไม่มีคุณธรรมในสังคมนั้นคงไม่ใช่
หากใครบอกว่า การโยนเรื่องคุณธรรมความดีเข้ามาเกี่ยวกับการเมืองหรือประชาธิปไตยเป็นเรื่องผิดพลาด คนที่มีความเห็นแบบนั้นอาจจะมีเจตนาที่ไม่ดี”
ดร.ประเชิญ ยังเห็นว่า กิจกรรม เดิน วิ่ง ปั่นต้านโกงยังจะสามารถขยายผลได้จากการบอกเล่าของคนที่มาร่วมกิจกรรม หรือแม้กระทั่งการแจกเหรียญที่ระลึก เมื่อมีคนเห็นก็จะมีคนถามและกลายเป็นการบอกต่อกับคนในสังคมได้ ซึ่งส่วนหนึ่งของการมาร่วมกิจกรรมเพื่อศึกษาและจะนำไปขยายผลที่มหาวิทยาลัยต่อไป
ส่วนนักศึกษาปริญญาโท อย่างจันทร์จ๋า เธอแต่งตัวด้วยเดรสลายดอกไม้ พร้อมรองเท้าส้นสูงสีน้ำตาลอ่อน มาพร้อมกับจักรยานแม่บ้านคู่ใจ ตกแต่งด้วยผ้าลายดอกสีแดงอย่างสวยงาม เป็นที่สะดุดตา
เธอบอกว่า ที่ออกมาร่วมกิจกรรมปั่นต้านโกงในครั้งนี้ เพราะเธอรับไม่ได้กับการทุจริต และไม่อยากเป็นคนที่นั่งบอกตัวเองว่า "ฉันเกลียดการทุจริต แต่ก็ไม่คิดที่จะทำอะไร"
ดังนั้น ที่ต้องออกมาร่วมกิจกรรม แม้ว่าจะต้องตื่นแต่เช้า ก็เพื่อที่จะบอกผู้คนอีกจำนวนมากในประเทศนี้ ที่ยังนั่งคิด หรืออยู่เฉยๆ ไม่เห็นด้วยแต่ไม่ทำอะไร ว่า วันนี้เราอยู่เฉยๆไม่ได้อีกแล้ว แล้วเลิกปฎิเสธที่จะไม่ออกมาว่า ปั่นไม่ได้ไม่มีชุด อุปกรณ์ไม่มี
เพราะตัวเธอเองก็มาในชุดกระโปร่งยาว ใส่รองเท้าส้นสูงมาปั่น แตกต่างจากผู้ร่วมกิจกรรมคนอื่นๆ เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่า ความมุ่งมั่นที่จะทำอะไรก็ทำได้ และการปั่นจักรยานไม่ได้สำคัญที่อุปกรณ์ แถมการแต่งกายของเธอยังดึงดูดให้คนถามไถ่ว่า เธอกำลังทำอะไร และเปิดโอกาสให้เธอได้รณรงค์เรื่องการคอร์รัปชั่นได้ง่ายขึ้นด้วย
สุดท้าย ครอบครัว ปรีชานุกูล เป็นอีกครอบครัวหนึ่งที่ไม่ลังเลที่จะพาลูกทั้งสองคนมาร่วมเดินต้านโกง น้องพัทฒ์ และน้องปัณณ์ เยาวชนตัวน้อยมาร่วมเดินกับคุณพ่อคุณแม่ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าทำไมต้องมา
แม่ของเด็กทั้งสอง เล่าว่า ปกติที่บ้านจะสนใจเรื่องของการออกกำลังกายอยู่แล้ว ซึ่งกิจกรรมในลักษณะนี้นอกจากจะได้ออกกำลังกายแล้ว ยังได้รณรงค์และได้เป็นส่วนหนึ่งของคนไทยที่จะออกมาเพื่อบอกกับสังคมว่า เรื่องทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นเรื่องสำคัญ
ทั้งนี้ เธอยอมรับว่าลูกทั้งสองของเธอเดินและมีคำถามตลอดทางว่า ทำไมต้องตื่นเช้าเพื่อมาเดินที่สนามหลวง ผ่านถนนราชดำเนินด้วย ซึ่งเธอก็ไม่เหนื่อยเลยที่จะอธิบายกับลูกว่า...
"เมื่อเราโตขึ้นเราจะต้องไม่ยอมรับการโกง เพราะการโกงเป็นสิ่งไม่ดี ถ้าโตขึ้นเราจะต้องไม่เป็นแบบนี้ แม้ตอนนี้เขาอาจจะยังไม่เข้าใจ แต่ก็เชื่อว่าการสั่งสอนและให้เขาได้ซึมซับตั้งแต่เด็กๆจะช่วยเขาโตไปเป็นคนที่ดีและไม่โกงได้"
ตลอดระยะทางของการเดิน ที่ต้องผ่านเส้นทางไปยังถนนราชดำเนิน มีการโบกไม้โบกมือให้กำลังใจจากกลุ่มผู้ชุมนุมที่ปักหลักอยู่ในบริเวรนั้น แม้บางอุดมการณ์คนไทยอาจไม่เห็นไปในทิศทางเดียวกันหมด ทว่าเรื่องทุจริตคอรัปชั่น ได้กลายเป็นสิ่งที่คนไทยรับไม่ได้ และเริ่มขยับจากไทยเฉย มาเป็นไทยตระหนักและตื่นรู้
หากรัฐบาลใดจะเข้ามาบริหารประเทศไทยต่อไป ควรคงต้องระวังพฤติกรรมการโกงเป็นพิเศษ เพราะวันนี้ประชาชนคนไทยตื่นจากภวังค์แล้ว!!!
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:ที่สุดมหกรรม 'เดิน-วิ่ง-ปั่น ต้านโกง'