นักวิชาการมองทางออกปัญหาความขัดแย้งเลือกตั้งแล้วต้องแก้รัฐธรรมนูญ
นักวิชาการTDRIชี้แก้ปัญหาความขัดแย้งตามระบอบประชาธิปไตยต้องใช้การเลือกตั้ง แล้วแก้รธน.ด้านอ.จุฬาฯ ย้ำความสำคัญของประชาธิปไตยอยู่ที่สิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ วอนอย่าใช้ 'วาทกรรม - ศีลธรรม' มาเป็นเครื่องมือทางการเมือง
วันที่ 12 ธันวาคม 2556 สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน ร่วมกับศูนย์ศึกษาความขัดแย้งและสันติวิธี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดเสวนาวิชาการในหัวข้อ “ข้อเสนอทางเลือกในการแก้ไขความขัดแย้งทางการเมืองตามวิถีทางประชาธิปไตย” ณ ห้องจุมพฏพันธุ์ทิพ อาคารประชาธิปก-รำไพพรรณี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ดร.วิโรจน์ ณ ระนอง ผู้อำนวยการวิจัยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(TDRI) กล่าวถึงข้อเสนอที่ควรทำในระยะยาวว่า จะออกจากสถานการณ์นี้ได้อย่างไร เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมีการใส่ศีลธรรมเข้ามาในการเมือง ซึ่งในแง่หนึ่งก็ทำให้ประเด็นทางการเมืองมีความดุเดือด
"เมื่อการต่อรองทางการเมืองมีเรื่องของศีลธรรมเป็นเป้าหมายหนึ่งอยู่ในนั้น อาจจะทำให้คนเราอยากเป็นคนดีและทำดีโดยไม่เลือกวิธีการ ประเด็นที่มีการต่อสู้แบบเอาเป็นเอาตายบางทีก็ไม่ใช่ประเด็นที่แท้จริง เช่น การจะเอานายกรักษาการณ์ หรือการจัดตั้งสภาประชาชน สิ่งเหล่านี้ถูกใส่เข้ามาเพราะสถานการณ์ หรือการกล่าวว่าเราไม่สามารถไว้ใจรัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้ มองว่า การเลือกตั้งจะมีการซื้อเสียง" ดร.วิโรจน์ กล่าว และว่า ประเด็นการโกงเลือกตั้งนั้นเป็นประเด็นเล็ก ทั้งนี้สาเหตุที่แท้จริงที่ไม่ต้องการให้รัฐบาลชุดเดิมรักษาการณ์ก็เพื่อต้องการเปลี่ยนแปลงระบอบที่มากกว่านั้น และไม่ได้มุ่งหวังไปสู่การเลือกตั้งในเร็วๆนี้
ผู้อำนวยการ TDRI กล่าวอีกว่า ขณะนี้ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลมีความเชื่อบางอย่างว่า การที่จะล้มรัฐบาลได้ ต้องมีเหตุการณ์ที่เกิดความรุนแรง การลบส่วนหนึ่งทางเทคนิคข้อกฎหมาย โดยการจะใช้ตุลาการ ป.ป.ช.เข้ามาเกี่ยวข้อง แม้ท้ายที่สุดกระบวนการเหล่านี้จะมีผลทำให้เกิดการชนะ แต่ไม่สามารถที่จะทำให้ปัญหาความขัดแย้งจบลงได้
ดร.ระนอง กล่าวถึงการแก้ปัญหาในแนวทางประชาธิปไตย และมองได้ในระยะยาวโจทย์อยู่ที่เราจะทำอย่างไรให้พรรคการเมืองเป็นตัวแทนของประชาชนมากกว่าตัวอักษร เนื่องจากประเทศไทยมีปัญหาเรื่องความชอบธรรมของรัฐธรรมนูญในปี 2550 ดังนั้นจึงมีข้อเสนอที่เป็นทางเลือกในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งตามแนวทางประชาธิปไตย 3 อย่างด้วยกัน คือ
1.ให้พรรคการเมืองต่างๆเสนอแนวทางในการแก้รัฐธรรมนูญในช่วงที่หาเสียง เมื่อเข้าสภามาแล้วจะเสนอแก้รัฐธรรมนูญ ตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.)ตามสัดส่วนปาร์ตี้ลิสต์ โดยยึดการเชื่อมโยงจากการเลือกตั้งจากประชาชน และป้องกันพรรคที่ได้คะแนนเกินครึ่งมีสิทธิ์เลือก สสร.เข้ามาได้ไม่เกิน 60%
2.ต้องทำให้เสียงข้างมากรับฟังและสนใจเสียงข้างน้อย ด้วยการเพิ่มน้ำหนักให้เสียงข้างน้อยฝั่งสสร. โดยการร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านออกมาได้ต้องได้รับเสียงสนับสนุนไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ทั้งนี้สิทธิในการแก้รัฐธรรมนูญหากจากสกัดเสียงข้างมากไม่ให้มีการใช้พวกมากลากไปในสภา สภาต้องเห็นชอบด้วย 3 ใน 4 ไม่ใช่กึ่งหนึ่งเหมือนที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ซึ่งจะช่วยทำให้บรรยากาศในสภามีความชอบธรรมมากยิ่งขึ้น
3.ทำอย่างไรให้เสียงข้างน้อยไม่กลายเป็นเสียงที่มาชี้ขาดแทนเสียงข้างมาก ในการร่างรัฐธรรมนูญ สำหรับขั้นตอนในการร่างรัฐธรรมนูญมีกำหนดว่า ต้องไม่เกิน2 ปี หากสสร. ไม่สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญทันจะต้องมีการกำหนดเพื่อไว้ล่วงหน้าว่าจะเอารัฐธรรมนูญฉบับเก่าใดมาใช้แทนก่อน โดยรัฐธรรมนูญที่เลือกมานั้นต้องเป็นฉบับที่ทั้ง 2 ฝ่ายไม่ชอบ คือต้องไม่ใช่ทั้งฉบับปี 2540 และ 2550 เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้มีการใช้เสียงข้างมากในการชนะขาด
“อย่างไรก็ตามในช่วงหาเสียงก่อนการเลือกตั้ง ถ้าเป็นไปได้อยากให้พรรคการเมืองลงสัตยาบรรณว่าถ้าชนะการเลือกตั้งจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ” ดร.วิโรจน์ กล่าว
ด้านนายเกษม เพ็ญภินันท์ อาจารย์ประจำภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า คนที่ยึดมั่นในประชาธิปไตย เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจเรื่องระบอบประชาธิปไตยว่า ประชาธิปไตยนั้น มีคุณค่าอย่างไร จะต้องให้ความรู้ความเข้าใจ ซึ่งที่ผ่านมาสถาบันการเมือง การศึกษาไม่ได้เผยแพร่ความรู้อย่างต่อเนื่องให้กับสังคม ซึ่งโจทย์ใหญ่ของเราในขณะนี้คือพรรคการเมือง และปัญหาอยู่ที่ว่าเราจะทำอย่างไรให้พรรคการเมืองเป็นตัวแทนประชาชนที่แท้จริง สมาชิคพรรคการเมืองทำในสิ่งที่ถูกต้อง และในการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งพรรคต้องรู้ว่า ใครเหมาะสมและจะเลือกใครเป็นตัวแทนและส่งคนเหล่านั้นสมัครในแต่ละเขตเพื่อที่จะทำให้คนมั่นใจว่าผู้ที่ลงสมัครนั้นมีคุณภาพมากพอที่จเป็นตัวแทนเข้ามาบริหารประเทศ
นายเกษม กล่าวด้วยว่า ตนไม่เห็นด้วยที่จะให้พรรคการเมืองแต่ละพรรคลงสัตยาบรรณว่า ถ้าได้รับเลือกแล้วจะเข้ามาแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะอยากให้แต่ละพรรคได้แสดงท่าทีออกมาเลยว่า ต้องการให้บ้านเมืองเป็นไปในรูปแบบใด เนื่องจากในการเลือกส.ส.หรือพรรคการเมืองเป็นแทนก็เท่ากับเราได้มอบสิทธิบางอย่างให้เขาไปแล้ว ดังนั้นเราจำเป็นที่จะต้องเคารพสิทธิ กลไกในการตรวจสอบ และการซื้อเสียงก็ไม่ใช่ปัจจัยหลักในการชี้ขาดของผู้ชนะการเลือกตั้ง
อ.ประจำภาควิชาปรัชญา จุฬาฯ กล่าวอีกว่า หลักการพื้นฐานในการออกแบบรูปแบบการปกครอง ในการร่างรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดนั้น เห็นว่าจะต้องมีการดีไซน์ที่เปิดกว้างให้กับประชาชนทุกคน ซึ่งรัฐธรรมนูญที่ดีจะต้องถูกออกแบบโดยคนในหลายๆอาชีพ สสร.เป็นเพียงนักกฎหมายที่มาช่วยเติมเต็มในเรื่องของเทคนิค ทั้งนี้สำหรับสิ่งที่ถูกกล่าวถึงกันในสังคมอย่างเรื่องสภาผัวเมียนั้น ในบางสังคมมีวัฒนธรรมทางการเมือง คือคนในเครือญาติไม่สามารถดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อได้ แต่เขาก็ไม่ได้ออกมาเป็นกฎหมายแต่เป็นความเข้าใจกันตามวัฒนธรรม เพื่อแก้ไขปัญหาการสืบทอดอำนาจ ซึ่งสังคมไทยอาจจะต้องปลูกฝังภายใต้ประสบการร์ประชาธิปไตยที่เกิดขึ้น
นายเกษม ยังกล่าวด้วยว่า สำหรับปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนี้ส่วนหนึ่งเพราะประชาธิปไตยของเรามีการพูดถึงเรื่องศีลธรรม ซึ่งความผิดพลาดของสังคมไทยคือการเอาวาทกรรมของศีลธรรมโยนเข้ามาในการเมือง และท้ายที่สุดความเป็นคนดีก็กลายมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง ความสำคัญของประชาธิปไตยไม่ได้อยู่ที่ศีลธรรม แต่อยู่ในเรื่องหลักการสิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ และว่าความเข้าใจผิดได้สร้างปัญหาให้กับการเมืองอีกด้วย