“คำพูดทักษิณ-คลิปถั่งเช่า” หลักฐานเด็ด ถอดถอน 310 ส.ส.
เปิด ! เอกสารขอถอดถอน 310 ส.ส. ของภาคประชาชน 2.3 หมื่นรายชื่อ แนบหลักฐานเป็นคำให้สัมภาษณ์ "ประยุทธ" ส.ส.เพื่อไทย เรื่องทักษิณอยากกลับบ้าน ต้องออก กม.นิรโทษกรรมช่วย-พ่วงคลิปถั่งเช่า
ตามที่เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2556 มีผู้แทนเครือข่ายภาคประชาชน นำโดยนายวิเชียร คุตตวัส เข้ายื่นรายชื่อประชาชน จำนวน 2.3 หมื่นรายชื่อต่อนายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา เพื่อถอดถอน ส.ส.จำนวน 310 คน ที่ลงมติผ่านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ในช่วงเวลาตีสี่ของวันที่ 1 พฤศจิกายน 2556
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org พบว่า เอกสารยื่นถอดถอน ส.ส.จำนวน 310 คนดังกล่าว มีความยาวทั้งสิ้น 10 หน้ากระดาษเอสี่ มีการอธิบายไล่เรียงเหตุผลที่เชื่อว่า ส.ส.จำนวน 310 คนดังกล่าว มีพฤติการณ์ส่อวากระทำผิด
โดยหนึ่งในหลักฐานที่ผู้แทนเครือข่ายภาคประชาชนยื่นประกอบไปด้วย ได้แก่ข่าวการสัมภาษณ์ของนายประยุทธ์ ศิริพาณิชย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) ผู้เสนอแปรญัตติแก้ไขเนื้อหาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม จนมีลักษณะล้างผิดเหมาเข่ง รวมถึงคดีความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณเคยบอกว่าอยากกลับบ้าน และทางเดียวที่จะทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับบ้านได้ คือการออกกฎหมายนิรโทษกรรมเท่านั้น
นอกจากนี้ ยังมีการมอบซีดีเสียงคลิปคนเสียงคล้าย พ.ต.ท.ทักษิณ พูดคุยกับคนเสียงคล้าย พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมช.กลาโหม (คลิปถั่งเช่า) ไปประกอบการพิจารณาด้วย
สำหรับเนื้อหาในเอกสารยื่นถอดถอน ส.ส.จำนวน 310 คน ดังกล่าว มีดังต่อไปนี้
*****
เขียนที่ ................................... วันที่ .... เดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 เรื่อง ขอแสดงตนต่อประธานวุฒิสภาเพื่อให้วุฒิสภามีมติถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งตามมาตรา 270 ของรัฐธรรมนูญออกจากตำแหน่ง กราบเรียน ประธานวุฒิสภา สิ่งที่ส่งมาด้วย 1. ข่าวประชาสัมพันธ์ ของสำนักงาน ป.ป.ช. ฉบับลงวันที่ 5 พฤศจิกายน 2556 2. บทความเกี่ยวกับ พรบ.นิรโทษกรรม 3. ข่าวการสัมภาษณ์ของนายประยุทธ์ ศิริพาณิชย์ และซีดีบันทึกเสียงชาย 2 คน 4. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ริเริ่มรวบรวมรายชื่อ จำนวน ..X.. แผ่น ด้วย ข้าพเจ้าในฐานะผู้ริเริ่มรวบรวมรายชื่อ จำนวน ..X .. คน (ไม่เกิน 100 คน ต้องตัดออกเมื่อใส่ตัวเลขแล้ว) มีความประสงค์ที่จะขอแสดงตนต่อประธานวุฒิสภาก่อนเริ่มรวบรวมรายชื่อประชาชน ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่าสองหมื่นคน เพื่อให้วุฒิสภามีมติถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผู้ลงคะแนนเสียงเห็นด้วยกับการพิจารณา ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทาง การเมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ. .... วาระที่สาม จำนวน 310 คน ออกจากตำแหน่ง ทั้งนี้ เนื่องจากผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว มีพฤติการณ์หรือส่อว่ากระทำผิด ดังนี้ 1. ผู้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั้ง 310 คนที่ขอให้ถอดถอนออกจากตำแหน่ง ได้ดำเนินการพิจารณาและลงมติผ่าน “ร่าง พรบ.นิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ. ….” (พรบ.นิรโทษกรรม) โดยกระบวนการที่มิชอบด้วยกฎหมาย, ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรม จนได้ร่าง พรบ.นิรโทษกรรม ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และเล็งเห็นผลว่าจะเกิดประโยชน์กับบุคคล หรือกลุ่มบุคคล ที่เกี่ยวข้องกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ขอให้ถอดถอน คือ 1.1 การแปรญัตติร่าง พรบ.นิรโทษกรรม เกินกว่าหลักการที่ลงมติให้นิรโทษกรรมเฉพาะความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการ เมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชนอันเนื่องจากเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 แต่แปรญัตติขยายระยะเวลาออกไปจนครอบคลุมเหตุการณ์ตั้งแต่เดือนมกราคม 2547 จนถึงวันที่ 8 สิงหาคม 2556 ภายใต้การบริหารของรัฐบาลนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นระยะเวลากว่า 9 ปี จนได้ร่างพระราชบัญญัติใหม่ที่มีเนื้อหาที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร ไทย พ.ศ.2550 หลายประการ ตัวอย่างเช่น ร่างพระราชบัญญัติ มาตรา 3 ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 32 (เรื่องสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย เพราะยกเว้นการการทำผิดอันเป็นการทารุณกรรม ในเหตุการณ์กรือเซะ ตากใบ ภายในรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่เกิดในปี 2547 ด้วย) ร่างพระราชบัญญัติ มาตรา 4 ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 197 (คดีต่าง ๆ ที่ศาลได้ตัดสินไปแล้วให้ถือเป็นไม่มีความผิด อันเป็นการแทรกแซงอำนาจตุลาการ) นอกจากนี้ยังขัอต่อหลักความเสนอภาค ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 30 เพราะไม่ยกเว้นความผิดที่ดำเนินการโดยองค์กรอื่นที่มิได้ระบุไว้ใน พรบ.นิรโทษกรรม ซึ่งปรากฏชัดจากกรณีดังนี้ ก. ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ครั้งที่ 519-84 / 2556 เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ.2556 ได้พิจารณาเรื่องที่สภาผู้แทนราษฎร มีมติเห็นชอบ 310 เสียงและงดออกเสียง 4 เสียงจากจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 500 คน ต่อร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ. …. หรือ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ในวาระที่ 2 และ 3 โดยจะส่งให้วุฒิสภาพิจารณาตามขั้นตอนต่อไปนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้จัดทำข้อเสนอแนะต่อวุฒิสภาเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาร่างพระราช บัญญัติฉบับดังกล่าว โดยระบุว่า ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการ เมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ. .... มาตรา 3 และมาตรา 4 มีผลกระทบ ต่อเรื่องกล่าวหา ที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.) ดำเนินการไต่สวนและส่งฟ้องคดี ต่อศาลที่มีเขตอำนาจแล้ว และเรื่องกล่าวหาที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อ รัฐ (คตส.) ส่งมอบสำนวนให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่รวมจานวน 24 เรื่อง รวมทั้งเรื่องกล่าวหาที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ดาเนินการไต่สวนตามอำนาจหน้าที่ จำนวน 25,331 เรื่อง เป็นเรื่องกล่าวหาผู้ดำรงตาแหน่งทางการเมืองระดับสูง จำนวน 400 เรื่อง และเรื่องกล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐทั่วไป จำนวน 24,931 เรื่อง ในจำนวนนี้เป็นเรื่องที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด จำนวน 666 เรื่อง ซึ่งเป็นเรื่องกล่าวหาเกี่ยวกับการทุจริตจะเป็นอันต้องระงับสิ้นไป และเรื่องที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วให้ถือว่าไม่เคยต้องคำพิพากษาดัง กล่าว เนื่องจากผู้กระทำพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง ตามร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ (เอกสารแนบที่ 1 – ปปช.) ข. ร่าง พรบ.นิรโทษกรรมให้ยกเว้นความผิด คดีที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิด โดย “คณะบุคคลหรือองค์กร ที่จัดตั้งขึ้นภายหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549” ซึ่งน่าจะหมายถึง 1. คตส. ทั้งคณะ 2. คณะกรรมการ ปปช. ชุดปัจจุบัน ซึ่งแต่งตั้งโดยคณะรัฐประหาร 3. คณะกรรมการตรวจเงินแผ่น หรือ คตง. 4. คณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งแต่งตั้งโดยคณะรัฐประหาร ซึ่งคณะบุคคลหรือองค์กรดังกล่าวดำเนินคดีกับนักการเมือง และข้าราชการที่กระทำความผิด ซึ่งนักการเมืองหรือข้าราชการที่ถูกดำเนินคดีมีโอกาสอย่างยิ่งที่จะมีความ สัมพันหรือเกี่ยวพันทางหนึ่งทางใดทั้งในอดีตหรือปัจจุบัน กับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ขอให้ถอดถอน (เอกสารแนบ 2 – บทความล้างผิด) 1.2 การพิจารณาร่าง พรบ.นิรโทษกรรม ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ขอให้ถอดถอน ทำการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวอย่างเร่งรีบ รวบรัด ต่อเนื่องตั้งแต่กลางวันจนถึงกลางคืน และลงมติผ่านร่างพระราชบัญญัติดังกล่าววาระ 3 ในเวลาที่คนปกติทั่วไปนอนหลับกัน ในยามวิกาล คือเวลา 4.25 นาฬิกา ของวันที่ 1 พฤศจิกายน 2556 ทั้งที่ไม่มีความจำเป็นต้องเร่งรีบเช่นนั้น และยังไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์ชาติไทยว่า เสียงข้างมากในสภานิติบัญญัติจะลงมติผ่านกฎหมายที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และขัดต่อหลักศีลธรรมของบ้านเมืองเช่นนี้ การกระทำของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทั้ง 310 คน ที่ขอให้ถอดถอนดังกล่าวข้างต้น ส่อให้ไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ ส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย และ ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรม อันเป็นความผิดตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 3 และมาตรา 133 คือ ไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามหลักนิติธรรม และปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ซื่อสัตย์สุจริต ไม่ปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทยเป็นหลัก แต่กลับผ่าน พรบ.นิรโทษกรรม เพื่อมุ่งหวังประโยชน์ของพวกพ้องเป็นหลัก อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมีการขัดกันแห่งผลประโยชน์ 2. ผู้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั้ง 310 คนที่ขอให้ถอดถอนออกจากตำแหน่ง ได้ดำเนินการพิจารณาและลงมติผ่าน พรบ.นิรโทษกรรม ภายใต้ความผูกมัดแห่งอาณัติ มอบหมาย หรือความครอบงำ ของบุคคล หรือคณะบุคคล อีกทั้งยังเป็นการกระทำที่เป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ดังข้อเท็จจริงปรากฏชัดว่าว่า 2.1 ร่าง พรบ.นิรโทษกรรม ที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั้ง 310 คนที่ขอให้ถอดถอนออกจากตำแหน่ง ลงมติผ่านร่างในวาระที่ 3 แล้วจะพบว่า ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวหากประกาศใช้เป็นกฎหมายจะเกิดประโยชน์สูงสุดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะได้กลับประเทศโดยไม่มีความผิดติดตัวเลย ดังจะพิจารณาได้จากการที่ นายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ผู้เสนอการแปรญัตติจนมีการเปลี่ยนแปลงมาเป็นร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมที่ ผ่านวาระที่สามนั้น ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนว่า ตนได้คุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร บอกว่า “พี่ยุทธ์ ผมอยากกลับบ้านแล้ว ท่านพูดแค่นั้น ผมก็รู้แล้วว่าถ้าท่านอยากจะกลับมาตามช่องทาง ซึ่งช่องทางที่ท่านจะกลับมาได้ก็คือต้องออกกฎหมายนิรโทษกรรมจึงเป็นโจทย์ในหัวใจผมตลอดมาว่าต้องหาทางให้ท่านกลับบ้านให้ได้ หลังจากท่านจุดประกายตรงนั้น ผมก็มายกร่าง(กฎหมายนิรโทษกรรม)ไปให้คุณทักษิณพร้อมผู้ใหญ่ของพรรคเพื่อไทยได้ดู ผมร่างไว้ทั้งหมด 4 เวอร์ชั่น" (เอกสารแนบที่ 3 – ประยุทธ์) จนนำมาสู่การแปรญัตติดังที่ปรากฏเป็นร่างพระราชบัญญัติที่เป็นปัญหา และเนื้อหาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวก็เป็นไปตามความประสงค์ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ดังที่ปรากฏในคลิปเสียงที่ชาย 2 คนคุยกันที่สังคมเรียกกันว่าคลิปถั่งเช่า (ไฟล์เสียงแนบที่ 1 – คลิปเสียงถั่งเช่า) ยิ่งกว่านั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังจะได้รับเงิน 4.6 หมื่นล้านบาทคืนพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ถูกยึดทรัพย์ถึงวันที่คืน ส่วนรัฐบาลนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะพ้นจากข้อกล่าวหาที่ ป.ป.ช. กำลังสอบสวนอยู่กรณีทุจริตจำนำข้าว และเงินกู้ 3.5 แสนล้านบาท ฯลฯ ดังนั้น การกระทำดังกล่าวจึงเป็นประจักษ์พยานอย่างชัดแจ้งว่า นายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ ได้ดำเนินการตามคำสั่งมอบหมายของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 122 อีกทั้งสโลแกนพรรคเพื่อไทยที่ว่า “ทักษิณ คิด เพื่อไทยทำ คนเคยทำสนับสนุน” นั้น อาจอนุมานถึงนัยยะซ่อนเร้นเรื่องอำนาจของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่มีในพรรคเพื่อไทย ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ จึงไม่อาจละเลยประเด็นเรื่องการตกอยู่ในอาณัติ ความครอบงำและการขัดกันแห่งประโยชน์ได้ 2.2 เมื่อประชาชนชาวไทยจำนวนมากออกมาคัดค้าน นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ออกโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจชี้แจงกับประชาชนว่า เมื่อประชาชนยังไม่พร้อมจะให้อภัยรัฐบาลก็จะไม่นำเรื่องพระราชบัญญัตินี้มา พิจารณาในสถานการณ์การเมืองที่มีความวุ่นวาย ส่วนหัวหน้าพรรคการเมืองของผู้ดำรงตำแหน่งทั้ง 310 คนที่ขอให้ถอดถอนก็ออกมาให้สัตยาบันว่า จะไม่นำร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ขึ้นมาพิจารณาอีกหากวุฒิสภามีมติไม่รับหลัก การ ย่อมแสดงให้เห็นว่าผู้ดำรงตำแหน่งทั้ง 310 คนออกเสียงลงคะแนนในลักษณะที่ตกอยู่ภายใต้อาณัติ มอบหมาย หรือความครอบงำของบุคคล หรือคณะบุคคล ซึ่งได้รับประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมจากพระราชบัญญัติดังกล่าว อันเป็นการกระทำผิดตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 122 ซึ่งบัญญัติว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาย่อมเป็นผู้แทนปวงชนชาว ไทยโดยไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติ มอบหมาย หรือความครอบงำใด ๆ และต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย โดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์ จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏชัดดังกล่าวนี้ ประชาชนชาวไทยจึงมีสิทธิที่จะไม่ไว้วางใจในพฤติกรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 310 คน และมีอำนาจตามบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2555 ในการลงชื่อถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ดังที่ได้กล่าวมาในข้างต้น |
*****
ภาพประกอบ - (ซ้าย) ประยุทธ์ ศิริพาณิชย์ (ขวา) ทักษิณ ชินวัตร จากอินเทอร์เน็ต
