“อำมาตย์-ป๋า”เบื้องหลังหย่า“คุณหญิงอ้อ”ฉบับ“ทักษิณ”
ย้อนวาทกรรม“อำมาตย์”ผ่านหนังสือ“ทักษิณ”เล่าเรื่อง“ป๋า-สถาบัน”เบื้องหลังจดทะเบียนหย่า “คุณหญิงอ้อ”ที่ฮ่องกง ธุรกิจเหมือง ทรัพย์สินในต่างประเทศ เมีย 1 คน สะท้อนใครตัวจริง?
ในการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย และกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในช่วงที่ผ่านมามักกล่าวอ้างว่าผู้อยู่เบื้องหลังการโค่นล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แม้กระทั่งรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (ซึ่งพวกเขาเรียกตัวเองว่าเป็นตัวแทนของฝ่ายระบอบประชาธิปไตยโดยแท้ และกล่าวหาผู้มีความคิดเห็นแตกต่างว่าเป็นพวกโค่นล้มประชาธิปไตย) คือ อำมาตย์
และถ้าหัวหน้าอำมาตย์คือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ ดังที่ พ.ต.ท.ทักษิณ และ แกนนำ นปช. กล่าวอ้าง? (รวมทั้งยกขบวนไปประท้วงด่าทอ พล.อ.เปรมที่บ้านสี่เสาฯ 2-3 ปีก่อนหน้านี้)
ในหนังสือ Conversations with THAKSIN (ตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษ 2011) ได้กล่าวถึงสถาบันเบื้องสูงและบทบาทของประธานองคมนตรีในช่วงก่อนและหลังการรัฐประหาร 19 ก.ย.49 ไว้ด้วย
เนื้อหาส่วนหนึ่งกล่าวถึงปูมหลัง บุคลิก และบทบาทของพล.อ.เปรมว่า เป็นคนพูดน้อยในที่สาธารณะ แต่มีความเป็นผู้นำที่เยี่ยมยอด ไม่มีครอบครัว มีภาพลักษณ์มือสะอาด ได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีเป็นเวลา 8 ปีโดยไม่ผ่านการเสนอตัวในการเลือกตั้ง
พ.ต.ท.ทักษิณ ยอมรับว่า พล.อ.เปรมเป็นบุคคลหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังการเป็นปฏิปักษ์ต่อเขา เป็นคนบอกผู้พิพากษาในการพิจารณาคดีการเมืองที่สำคัญและต้องการให้เขาอยู่นอกประเทศตลอดไป
พ.ต.ท.ทักษิณระบุว่าเมื่อครั้งเป็นนายกรัฐมนตรี เขาได้กล่าวต่อสาธารณชนว่าการบริหารงานของรัฐบาลไม่สามารถทำอะไรได้มากเนื่องจากถูกแทรกแซงด้วยบุคคลที่มีอำนาจนอกรัฐธรรมนูญ คำพูดดังกล่าวได้สร้างความโกรธเคืองให้แก่ พล.อ.เปรมเป็นอย่างมาก เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะเดินทางไปนิวยอร์กเพื่อกล่าวต่อที่ประชุมสหประชาชาติ
นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณอ้างว่าได้เข้าเฝ้าฯในช่วงเดือนเมษายน 2549 และจะไม่ขอรับตำแหน่งนายกฯภายหลังการเลือกตั้ง
ขณะเดียวกัน พ.ต.ท.ทักษิณเล่าถึงการหย่าร้างว่าเป็นเพราะคุณหญิงพจมานไม่ชอบการเมือง หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการสร้างทางธุรกิจจนร่ำรวย
คุณหญิงพจมานบอกว่าเราควรจะพักผ่อน และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขด้วยกัน
แต่ พ.ต.ท.ทักษิณคิดว่าเขาควรทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อประเทศชาติ แต่คุณหญิงพจมานไม่เห็นด้วย ทว่าด้วยที่คุณหญิงพจมานมีหัวใจที่ยิ่งใหญ่ซึ่งคนมักบอกว่าคุณหญิงพจมานเป็นคนดูแลลูกน้องในบริษัท ดูแลผู้สนับสนุน ให้เงินพนักงาน ทุกคนให้ความเคารพ
พ.ต.ท.ทักษิณเล่าว่าหลังจากถูกรัฐประหาร 19 ก.ย.49 คุณหญิงพจมานบอกว่าไม่เอาอีกแล้ว เราไม่ได้ทำอะไรผิด ทั้งๆที่เราทำงานหนักเพื่อประเทศชาติ นี่หรือสิ่งที่ได้รับ และรู้สึกข่มขื่นเป็นอย่างมาก
พ.ต.ท.ทักษิณเล่าอีกว่าครอบครัวได้ออกจากประเทศไปอยู่ด้วยกันช่วงหนึ่ง ต่อมาคุณหญิงพจมานอยากกลับเมืองไทย เนื่องจากคิดถึงเพื่อนและญาติ พ.ต.ท.ทักษิณพูดว่า เขาต้องการกลับมาเพื่อต่อสู้ทางการเมืองอีกครั้ง คุณหญิงพจมานบอกว่าเข้าใจและเห็นใจที่ พ.ต.ท.ทักษิณต้องการต่อสู้ทางการเมือง แต่เธอไม่ต้องการที่จะยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีก
พ.ต.ท.ทักษิณบอกว่าการจดทะเบียนหย่าเป็นความต้องการของคุณหญิงพจมาน
“คุณหญิงพจมานบอกว่า ปล่อยให้เธอกลับบ้าน ส่วนคุณจะทำอะไรก็เรื่องของคุณ อย่าเอาเธอไปเกี่ยวข้องกับการเมืองในทุกกรณี”
การจดทะเบียนหย่าเกิดจากความเข้าใจซึ่งกันและกัน และเราต้องดูแลลูก เรายังมีเพื่อนโดยจดทะเบียนหย่าขาดกันที่กงสุลไทยในฮ่องกงในเดือน พ.ย. 2551
เราต้องต่อสู้อีกมาก เธอพูดอีกครั้งว่า “ไม่ชอบการเมือง แต่เธอเข้าใจดีว่าถ้าผมไม่ต่อสู้ ผมจะไม่มีวันได้กลับบ้าน” คุณหญิงพจมานบอกว่า “ดังนั้นก็ควรจะให้ฉันอยู่คนเดียว”
พ.ต.ท.ทักษิณเล่าว่า หลังจากจดทะเบียนหย่าก็ไม่ได้พบกันอีก เขารู้สึกเสียใจมาก แต่ได้ติดต่อกันทางโทรศัพท์เพราะจะต้องให้คำปรึกษาในเรื่องลูก เรื่องทรัพย์สิน เรื่องคดีความที่ถูกกลั่นแกล้งซึ่งต้องปรึกษาหารือกันอย่างมาก
พ.ต.ท.ทักษิณระบุว่าทรัพย์สินที่ถูกยึดทรัพย์คิดเป็น 60% ของทรัพย์สินทั้งหมดหรือประมาณ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทรัพย์สินของครอบครัวส่วนใหญ่อยู่ในประเทศไทย อยู่ในต่างประเทศประมาณ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ปัจจุบันประมาณ 3 พันล้านบาท) และตอนนี้เขาลงทุนเหมืองแร่เป็นจำนวนมาก
พ.ต.ท.ทักษิณเล่าอีกว่าเขาแต่งงานกับคุณหญิงพจมานตั้งแต่ปี 2519 อยู่ด้วยกันเป็นเวลา 32 ปีก่อนจดทะเบียนหย่า และมีคุณหญิงพจมานเป็นภรรยาเพียงคนเดียว
พ.ต.ท.ทักษิณระบุว่า คุณหญิงพจมานไม่ค่อยชอบออกงานสังคม (low profile woman) น้อยครั้งที่ทั้งคู่จะปรากฏตัวต่อสาธารณด้วยกัน เมื่อตอนเดินทางไปเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการประมาณ 60 ครั้ง คุณหญิงพจมานร่วมเดินทางไปด้วยเพียงแค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาเฉพาะเนื้อหาที่กล่าวถึง พล.อ.เปรม เห็นได้ว่า นับตั้งแต่ก่อนถูกรัฐประหารจนถึงปัจจุบัน พ.ต.ท.ทักษิณเชื่อว่า พล.อ.เปรมอยู่เบื้องหลังขบวนการที่เป็นปฏิปักษ์ต่อเขา สอดรับกับคำกล่าวอ้างของแกนนำกลุ่ม นปช.ที่มักจะอ้าง“อำมาตย์”ในการปลุกม็อบเมื่อคิดว่าสูญเสียประโยชน์หรือไม่เป็นผลดีต่อกลุ่มและพวกของตนเอง ในการตัดสินคดีที่พรรคหรือคนของพรรคถูกกล่าวหา
แม้กระทั่งการเคลื่อนไหวหยุดยั้งกฎหมายนิรโทษกรรมของประชาชนกลุ่มต่างๆก็ยังอ้างว่าอำมาตย์อยู่เบื้องหลัง
ยกเว้นคดีซุกหุ้นภาคแรกเพียงคดีเดียวที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีความผิดด้วยเสียง 8 ต่อ 7 เสียง (นักวิชาการทางด้านกฎหมายระบุว่าเป็นคำวินิจฉัยสีเทา)
ทว่านับตั้งแต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้าสู่อำนาจ กระบวนการบริหารราชการแผ่นดิน การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ การบงการ ชักจูง ส.ส.ให้ออกกฎหมายนิรโทษกรรม ได้สะท้อนให้เห็นอย่างแท้จริงแล้วว่าใครเป็นอำมาตย์ตัวจริง ใครเป็นไพร่?
….
อ่านประกอบ
ปริศนา!“ผู้หญิง 2 คน”กำหนดอนาคตประเทศ-พาทักษิณกลับบ้าน?
พ็อกเก็ตบุ๊คแนวรัก-เปิดโปง“ทักษิณ-ปู”วางเกลื่อน ม.วิสคอนซิน