ไทย-กัมพูชา ถกรับมือคำตัดสินศาลโลกนัดแรก ย้ำยึดกลไกเจซี-เจซีบีดี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ต่างประเทศ ได้เดินทางด้วยเฮลิคอปเตอร์ เพื่อมายังค่ายสุรสีหนาท อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ก่อนเดินทางตรงไปยังโรงแรมฮอลิเดย์ พาเลซ เมืองปอยเปต จ.บันเตียเมียนเจย ประเทศกัมพูชา เพื่อหารือร่วมกับนายฮอร์ นัมฮง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ต่างประเทศ กรณีความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากกระทรวงการต่างประเทศของไทยและกองทัพเข้าร่วม อาทิ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นต้น โดยใช้เวลาหการหารือประมาณ 50 นาที
จากนั้น เวลา 10.40 น. รัฐมนตรีทั้ง 2 ประเทศ ได้ร่วมกันแถลงข่าว โดยนายสุรพงษ์ กล่าวว่า การหารือครั้งนี้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม และนายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่จะรักษาความสัมพันธ์อันดี ความร่วมมือที่กำลังเป็นไปด้วยดีระหว่างกัน และความสงบสุขบริเวณชายแดนของประเทศทั้งสอง ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ผู้นำทั้งสองต่างยึดมั่นในแนวทางสันติมาตลอด
“วันนี้เป็นโอกาสดีที่ทั้ง 2 ฝ่าย ได้หารือกันถึงแนวทางที่จะช่วยกันดูแลความสัมพันธ์ระหว่างกันในช่วงที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) จะมีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับคำพิพากษาคดีเมื่อปี 2505 โดยทั้ง 2 ฝ่ายเห็นพ้องว่าไม่ว่าผลการตัดสินของศาลโลกจะออกมาเช่นไร เราจะไม่ให้กระทบความสัมพันธ์ระหว่างกัน เพราะเราเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่จะต้องอยู่ด้วยกันตลอดไป การดำเนินการใด ๆ จะต้องมีการพูดคุยเจรจาหารือกัน และยึดมั่นในเจตนารมณ์ที่จะรักษาความสงบตามแนวชายแดนและภายในของประเทศทั้งสอง และจะไม่ให้มีสิ่งใดมากระทบความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน”นายสุรพงษ์ กล่าว
อย่างไรก็ดี เพื่อรักษาบรรยากาศความเป็นมิตรระหว่างกัน ทั้ง 2 ฝ่ายได้ร่วมกำหนดมาตรการที่จะยึดถือปฏิบัติร่วมกัน ทั้งสำหรับช่วงก่อนและภายหลังการอ่านคำตัดสินของศาลฯ โดยทั้ง 2 ประเทศเห็นพ้องกันว่าจะต้องมีมาตรการที่จะรักษาไว้ซึ่งความสงบสุขตามแนวชายแดน โดยทั้งในระดับรัฐบาลและระดับทหารในพื้นที่จะร่วมกันรักษาความสงบบริเวณชายแดนและป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ใดๆ และจะดูแลให้มีการติดต่อไปมาหาสู่กันตามปกติ ทั้งในส่วนของประชาชนและการขนส่งสินค้าระหว่างสองประเทศ
นอกจากนี้ ทั้ง 2 ฝ่ายจะนำเสนอข้อมูลข่าวสารอย่างเหมาะสมและด้วยความระมัดระวัง และทั้ง 2 ฝ่ายจะเคารพในสิทธิและการแสดงออกของกันและกัน รวมทั้ง 2 ฝ่ายตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องมีการดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ และกระบวนการทางกฎหมายภายในของแต่ละประเทศ และสนับสนุนให้มีการพบปะหารือเกี่ยวกับสาระสำคัญของคำตัดสินและการดำเนินการที่เกี่ยวข้องต่อไปตามลำดับ โดยในชั้นนี้ทั้ง 2 ฝ่ายเห็นพ้องที่จะให้ใช้กลไกที่มีอยู่แล้ว เช่น การประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (เจซี) ไทย-กัมพูชา หรือกลไกอื่นๆ
ส่วนการนำเสนอข้อมูลข่าวสารจากภาครัฐเป็นสิ่งสำคัญ และเพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างกัน ทั้ง 2 ฝ่ายเห็นพ้องที่จะให้กระทรวงการต่างประเทศของแต่ละฝ่ายเป็นหน่วยงานหลักในการประสานข้อมูลและการให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ประชาชน เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนในเรื่องของข้อมูลข่าวสาร โดยสรุปแล้วการหารือในวันนี้ได้สะท้อนถึงความตั้งใจอันดีของทั้ง 2 ประเทศที่จะพยายามอย่างเต็มที่ในการส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน และความสงบสุขตลอดแนวชายแดนที่ติดต่อกัน และภายในประเทศทั้งสอง
ด้านนายฮอร์ นัมฮง กล่าวว่า ส่วนตัวดีใจที่ได้นำคณะมาร่วมประชุมกับคณะของไทยเพื่อปรึกษาหารือถึงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าต่อการที่ศาลโลกจะตัดสินคดี และเห็นด้วยกับสิ่งที่นายสุรพงษ์กล่าวมาทั้งหมด และขอยืนยันว่าไม่ว่าคำตัดสินของศาลโลกจะตัดสินอย่างไร จะรักษาชายแดนให้เป็นชายแดนแห่งสันติภาพและมิตรภาพ รวมถึงเสริมความร่วมมือระหว่างทั้ง 2 ประเทศให้ดียิ่งขึ้น
“ยืนยันว่าเราจะปฏิบัติตามคำตัดสินขอศาลโลกโดยดี ไทยและกัมพูชาไม่ใช่เป็นประเทศใกล้เคียงกันเท่านั้น แต่เรามีอารยธรรม ประเพณี และมีหลายสิ่งที่คล้ายคลึงกัน ถือว่าเราเป็นประเทศพี่น้องกัน ไม่มีสิ่งใดนอกเหนือจากนี้ เราจะทำให้การใช้ชีวิตของประชาชนในพื้นที่ชายแดนดียิ่งขึ้น เราไม่เพียงแต่รักษาความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกันให้ดีรอบด้าน แต่จะเสริมสร้างให้ดียิ่งขึ้น” นายฮอร์นัมฮง กล่าว
ส่วนการประชุมคณะรัฐมนตรีของกัมพูชา เมื่อวันที่ 26 ต.ค.ที่ผ่านมา นายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้สั่งตรงไปยังตำรวจและทหารในพื้นที่ชายแดนในรื่องดังกล่าว และได้ประกาศในที่ประชุมว่าผู้นำทั้งสองเห็นชอบที่จะรักษาชายแดน ให้เป็นชายแดนแห่งมิตรภาพและความร่วมมือระหว่างประเทศให้ดียิ่งขึ้น อีกทั้ง ยังแนะนำให้ทหารกัมพูชาใช้ความอดกลั้นสูงสุด อย่าให้เกิดความเข้าใจผิดในบริเวณชายแดน เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งและการกระทบกระทั่ง
“ขอถือโอกาสการแถลงข่าวครั้งนี้ เรียนให้ทราบว่าการที่กัมพูชานำเรื่องปราสาทพระวิหารขึ้นสู่ศาลโลกให้ตีความคำพิพากษาเดิมเมื่อปี 2505 เป็นการจำใจทำ เพราะรัฐบาลไทยเมื่อปี 2551 ได้สร้างปัญหากับเราอย่างมาก เกิดการกระทบกระทั่งอย่างหนักในพื้นที่ดังกล่าว เมื่อเผชิญสถานการณ์เฉพาะหน้า และเพื่อหลีกเลี่ยงสงคราม ทำให้เราจำใจเอาคดีไปขึ้นศาลเพื่อให้ศาลตัดสินให้เหมาะสมสำหรับทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งประชาชนกัมพูชาเข้าใจกันในจุดนี้และจะไม่มีการอภิปรายอะไร ดังนั้นไม่ว่าศาลจะตัดสินอย่างไร ทั้ง 2 ประเทศต้องรักษาสันติภาพและมิตรภาพระหว่างกันใด้ดีขึ้น”
อย่างไรก็ดี ถ้ารักษาสันติภาพได้ ก็จะรักษามิตรภาพได้ นายฮุนเซนได้ประกาศหลายครั้งแล้วว่า กัมพูชาจะเคารพคำตัดสินของศาลไม่ว่าศาลจะตัดสินอย่างไร และหลังจากศาลตัดสินในวันที่ 11 พ.ย.นี้แล้ว คณะกรรมาธิการเจซีไทย-กัมพูชา จะพบปะหารือกันเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาบนจิตใจที่เข้าอกเข้าใจและความร่วมมือที่ดีของประเทศทั้งสอง
ต่อมา ผู้สื่อข่าวกัมพูชาได้สอบถามหากภายหลังจากศาลโลกตัดสินแล้วจุดยืนของรัฐมนตรีทั้งสองจะเปลี่ยนไปหรือไม่ และในกรณีที่ประเทศใดประเทศหนึ่งแพ้ไม่ปฏิบัติตามคำตัดสินของศาล แต่ละฝ่ายจะมีมาตรการอย่างไร นายสุรพงษ์ กล่าวว่า หลังศาลมีคำตัดสินแล้วจุดยืนของทั้ง 2 ประเทศจะต้องคุยกัน ความสัมพันธ์ยังเหมือนเดิม และต้องดียิ่งขึ้นกว่าเดิม สำหรับผลการตัดสินจะออกมาอย่างไร ก็จะใช้กลไกเจซีไทย-กัมพูชาในการหารือกันทุกขั้นตอนว่าจะดำเนินการอย่างไรบ้าง ซึ่งเห็นพ้องกันว่าต่างฝ่ายต้องให้เวลาซึ่งกันและกัน
ขณะที่นายนัมฮง กล่าวว่า นายฮุนเซน มีเจตนาที่ดีเสมอว่าจะทำตามคำตัดสินของศาลให้ดีที่สุด จะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น และยืนยันชัดเจนถึงจุดยืนของนี้ ไม่ว่าศาลจะตัดสินอย่างไร ก็จะสานความสัมพันธ์รอบด้าน มีการแลกเปลี่ยนการเยือนของผู้แทนทุกระดับต่อไป และจะต้องดีกว่าเดิม หลังจากการที่ศาลตัดสินแล้ว นอกจากที่ 2 ฝ่ายจะจัดประชุมเจซีร่วมกันเพื่อหาวิธีแก้ไขปัญหา ในอนาคต 2 ฝ่ายยังจะมีการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยการพัฒนาพื้นที่ชายแดนและความเชื่อมโยง (เจซีบีดี) ไทย-กัพูชา ซึ่งมีตนและนายสุรพงษ์เป็นประธานร่วมกัน
“เราเชื่อมั่นว่า เราจะรักษาสันติภาพและความร่วมมือเพื่อสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับประเทศทั้งสอง และขอร้องประชาชนทั้ง 2 ประเทศอย่าเป็นห่วงใดๆเกี่ยวกับปัญหานี้ เพราะนายกรัฐมนตรีทั้งสองตั้งใจจะปกป้องรักษาความสัพน์ให้ดีขึ้นกว่าเก่า”นายฮอร์นัมฮง กล่าว
ขณะที่ผู้สื่อข่าวของไทยถามว่าจะใช้กลไกใดเพื่อสร้างมาตรการรักษาความสงบสุขในชายแดน อีกทั้ง การประชุมเจซี หลังศาลมีคำพิพากษาแล้ว จะจัดขึ้นได้เมื่อใด นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ความร่วมมือตามแนวชายแดนต้องมีทั้งระดับทหารและระดับรัฐบาล กรณีที่ศาลมีคำตัดสินไม่ว่าจะเป็นเช่นใด ทั้ง 2 ฝ่ายต้องมีความร่วมมือกันทั้งรัฐบาลที่ถือเป็นพลเรือนและทหารต้องประสานงาน เพื่อไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งหรือความเข้าใจผิดกัน และหลังทราบผลตัดสินของศาล ส่วนตัวและนายฮอร์นัมฮงได้นัดแนะที่จะจัดประชุมเจซีทันที ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นเต็มคณะ โดยอาจมีเฉพาะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อความสะดวกและการประสานงานกันได้รวดเร็วขึ้น แต่จะมีการใช้กลไกการประชุมทั้ง 2 เวที คือ เจซี และเจซีบีดี
เมื่อถามว่า ทั้ง 2 ประเทศมีการเตรียมรับมือในการทำความเข้าใจกับกลุ่มคนที่จะออกเคลื่อนไหวตามแนวชายแดนที่ประกาศว่าจะไม่รับคำตัดสินของศาลโลกอย่างไร นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ส่วนตัวจะให้ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้ชี้แจงทำความเข้าใจรายละเอียดทั้งหมดกับสังคมไทย เพราะไทยไม่ได้เป็นภาคีของศาลโลก
“นายกรัฐมนตรีไทยและกัมพูชา นายฮอร์ นัมฮง และผม ต่างยึดมั่นต้องการทำให้ประชาชนทั้ง 2 ฝ่ายในพื้นที่ปราสาทพระวิหารสามารถอยู่กันได้อย่างสันติ ไม่ต้องการให้มีขบวนการต่างๆมาชักจูง สร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้น คิดว่าคนไทยส่วนใหญ่มีความเข้าใจสถานการณ์ต่างๆดียิ่งขึ้น หลังจากกระทรวงการต่างประเทศได้นำเสนอข้อมูลข้อเท็จจริงต่างๆ ซึ่งจะทำต่อไปอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ประชาชนเข้าใจถึงความเป็นมาตั้งแต่ปี 2505 ถึงเหตุการณ์ต่างๆให้ชัดเจนยิ่งขึ้น”นายสุรพงษ์ ระบุ
ด้านนายฮอร์นัมฮง กล่าวว่า ถือเป็นความตั้งใจอย่างสูงของทั้ง 2 ฝ่ายที่มาพบกันในวันนี้เพื่อหาวิถีทางและกลไกทุกอย่างเพื่อแก้ปัญหาหลังศาลโลกมีคำตัดสิน ไม่ว่าศาลจะตัดสินในแง่ใด ประชาชนชาวกัมพูชาจะเห็นชอบกับคำตัดสินของศาล และไม่คิดว่าจะมีปัญหากับไทย การประชุมในวันนี้นอกจากมีผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศแล้ว ยังมีผู้แทนของกองทัพและตำรวจมาร่วมประชุมเพื่อรับรู้ถึงสิ่งที่ได้หารือร่วมกัน เราจึงเชื่อมั่นว่าฝ่ายไทยก็คิดเช่นเดียวกัน
“กัมพูชาเข้าใจว่าความขัดแย้งบริเวณปราสาทพระวิหารเป็นเรื่องของที่ดินเพียงนิดเดียว เราจะไม่ให้ปัญหาเพียงนิดเดียวนี้ส่งผลกระทบต่อความร่วมมือที่มีอยู่อย่างยาวนานและแนบแน่นของทั้ง 2 ประเทศ ขณะที่ประชาชนของทั้ง 2 ประเทศควรมีส่วนในการปกป้องมิตรภาพของเรา อย่าให้กระทบกระเทือนจากปัญหานี้เช่นกัน”นายฮอร์ นัมฮง กล่าว
ขอขอบคุณข่าวจาก