ความรับผิดชอบของสังคมไทยกับการลงทุนในพม่า
I
รัฐบาลในปัจจุบันประกอบไปด้วยโสณทุจริตที่ไร้ยางอายอย่างหนาตา สมาชิกรัฐสภาก็มากไปด้วยคนกึ่งดิบกึ่งดี ที่ไม่ยืนอยู่ข้างราษฎรตาดำๆ ที่เดือดร้อนแสนลำเค็ญ แม้ผู้พิพากษาตุลาการที่มีความกล้าหาญทางจริยธรรม โดยเข้าถึงความยุติธรรมอย่างไปพ้นตัวบทกฎหมาย อย่างประกอบไปด้วยการุณยธรรมนั้น ก็หาได้ยากยิ่งนัก ยังมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาต่างๆ ก็แทบหาความเป็นครูที่เป็นปูชนียบุคคลได้ยากเป็นอย่างยิ่ง นี่ว่าถึงในทางอาณาจักร ซึ่งสยบไปกับบรรษัทข้ามชาติและอภิมหาอำนาจอันได้แก่ จีนและสหรัฐอย่างไม่พึงต้องสงสัย
แล้วในทางศาสนจักรเล่า กรรมการมหาเถรสมาคม ไม่อยู่ในสภาพที่ดีกว่ารัฐบาลเอาเลย เรามีสมเด็จพระราชาคณะที่ชอบเสพกามกับคนเพศเดียวกันถึง ๒ รูป และเรามีรองสมเด็จพระราชาคณะที่มีภรรยาอย่างเปิดเผยก็อย่างน้อย ๒ รูป อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงฆ์ ถูกกล่าวหาว่าต้องอาบัติปราชิกทั้งทางด้านการเสพเมถุนและโกงกิน แต่กลับได้รับเลื่อนสมณศักดิ์หัวหน้าคณะพระธรรมกาย ซึ่งมีลายพระหัตถ์สมเด็จพระสังฆราช ประกาศออกมาชัดเจนว่าหมดความเป็นพระแล้ว ทั้งทางอัยการก็เตรียมฟ้องคดีอาญาด้วยแล้ว แต่ถูกอดีตนายกรัฐมนตรีผู้มีความฉ้อฉลอย่างสุดๆ สั่งให้ยุติคดีไว้อย่างผิดกฎหมาย ก็ได้รับเลื่อนสมณศักดิ์
การบริหารงานของศาสนจักรและอาณาจักร รวมถึงแวดวงมหาวิทยาลัย ใช้อำนาจเป็นธรรม ไม่ใช่ธรรมเป็นอำนาจ มีการเล่นพรรคเล่นพวก และใช้เล่ห์เพทุบาย ที่อ้างว่าเป็นประชาธิปไตยอย่างน่าสมเพทเวทนา สื่อสารมวลชนก็เป็นไปเพื่อเดินตามทางของทุนนิยม บริโภคนิยม และอำนาจนิยม ด้วยการมอมเมามหาชนอย่างแยบคาย อย่างยากที่จะหาผู้ที่จะกล้าท้าทายโครงสร้างทางสังคมอันอยุติธรรมและรุนแรงทั้งหลายเหล่านี้เอาเลย
แล้วเราจะหวังอะไรได้กับบ้านนี้เมืองนี้ แต่พุทธศาสนาสอนให้เราใช้อุปายโกศล คือการวางท่าทีที่ถูกต้อง เพื่อเอาวิกฤตมาใช้ให้เป็นโอกาส ฉะนั้น เราจึงต้องตระหนักรู้ถึงทุกขสัจทางสังคม โดยโยงไปหาเหตุแห่งทุกข์ให้ชัด แล้วเราก็จะดับทุกข์ได้โดยครรลองของพระอริยมรรค
นี่เป็นเพียงคำปรารภหรือคำเตือน ที่เราจะนำมาประยุกต์ใช้ให้เป็นรูปธรรมได้อย่างไร
II
ว่าเจาะจงลงไปที่ความรับผิดชอบของสังคมไทยกับการลงทุนในพม่า เราต้องตราไว้ว่า พม่าเป็นประเทศปิดมานาน อย่างน้อยก็ตั้งแต่เผด็จการภายใต้การนำของนายพลเนวินในปี ค.ศ. ๑๙๖๒ ยิ่งค่ายฝ่ายตะวันตกที่อ้างว่าเป็นเสรีประชาธิปไตย ที่สมาทานลัทธิทุนนิยมและบริโภคนิยมคว่ำบาตรรัฐบาลพม่า สาธารณรัฐประชาชนจีนก็มีอิทธิพลกับประเทศพม่ายิ่งๆขึ้น จนเกือบจะเรียกได้ว่าพม่าเป็นรัฐในอารักขาของรัฐบาลจีนเอาเลยก็ว่าได้
ว่าไปทำไมมี ไทยเราก็หาได้พ้นไปจากอาณัติของจักรวรรดินิยมจีนและจักรวรรดินิยมอเมริกา แต่ตอนนี้ขอว่าด้วยเรื่องพม่าก่อน อย่างน้อยพม่าเริ่มรู้ตัวว่าจักรวรรดิจีนก้าวก่ายมากไป ดังที่จีนก็ทำเช่นนี้กับทุกๆประเทศในลุ่มแม่น้ำโขง ซึ่งรวมถึงลาว ไทย และเขมร ตลอดจนญวน แต่พม่าปลดแอกออกจากจีนได้ก่อนประเทศอื่นๆในแถบนี้ แม้จะยังไม่เป็นไทจากจีนแท้ทีเดียวก็ตาม
อย่างน้อยการปลดแอกจากจีนไปในประการแรกคือ ถือโอกาสเชื้อเชิญให้โลกตะวันตกที่เคยรังเกียจพม่าให้เลิกคว่ำบาตร โดยอ้างว่าพม่าจะเป็นประชาธิปไตยขึ้นบ้างแล้ว รวมถึงการใช้การให้อิสรภาพกับนางอองซานสุจีเป็นกุศโลบายอย่างหนึ่งด้วย
หน่วยงานของข้าพเจ้าได้ร่วมงานกับชุมชนต่างๆในพม่ามากว่า ๑๕ ปี ไม่แต่กับพระสงฆ์และอุบาสกอุบาสิกา ตลอดจนศาสนิกนิกรอื่นๆ เช่น คริสต์ และมุสลิม โดยเฉพาะก็ชนกลุ่มน้อยต่างๆทั้งมอญ ไทยใหญ่ กะเหรี่ยง กะฉิ่น ฯลฯ กล่าวได้ว่าพวกเราชาวไทยที่ร่วมงานกับคนในพม่าที่ว่านี้ มีความเป็นกัลยาณมิตร ซึ่งกันและกัน คือเราเตือนกันได้ เราวิพากษ์วิจารณ์กันได้ หรือเราต่างก็พูดให้กันและกันฟัง แม้จะขัดใจกัน ก็อดกลั้นไว้ด้วยเชื่อว่าอีกฝ่ายเป็นกัลยาณมิตร ดังพระพุทธเจ้าตรัสว่ากัลยาณมิตรคือผู้ที่พูดในสิ่งซึ่งเราไม่อยากฟัง แต่เขาหวังดี คือเขาเป็นเสียงแห่งมโนธรรมสำนึก
ประเด็นอยู่ตรงนี้เอง คือความรับผิดชอบกับสังคมนั้น ผู้ที่ถือตนว่าเป็นคนรับผิดชอบ ไม่ว่าจะสังคมของตนเอง หรือสังคมของประเทศเพื่อนบ้าน ต้องสร้างความเป็นกัลยาณมิตรขึ้นให้ได้ก่อน แล้วจึงจะพูดถึงการลงทุนด้วยกัน หรือค้าขายร่วมกัน รวมถึงความร่วมมืออื่นๆด้วย
จำได้ว่าข้าพเจ้าเคยพูดกับมหาเทวีแห่งยางห้วย ซึ่งเคยเป็นภรรยาของประธานาธิบดีคนแรกของสหภาพพม่า โดยที่ต่อมาท่านผู้นี้ถูกเนวินจับเข้าขังคุกจนไปตายในที่คุมขัง เผอิญข้าพเจ้าโชคดีที่ไม่แต่มหาเทวีเท่านั้นที่ถือว่าข้าพเจ้าเป็นกัลยาณมิตร โอรสท่านทุกองค์ก็ถือเอาว่าข้าพเจ้าเป็นกัลยาณมิตรด้วยเช่นกัน โดยที่ทุกท่านต้องอพยพหลบภัยไปอยู่ ณ ต่างแดนทั้งนั้น องค์มหาเทวีเองก็ไปพิลาไลยในประเทศคานาดา
เมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านพูดกับข้าพเจ้าว่า “คุณสุลักษณ์ ไทยกับไทยใหญ่ หรือชนชาติใดในพม่าก็ตาม ควรเป็นเพื่อนกันก่อน เมื่อเป็นเพื่อนอย่างไว้เนื้อเชื่อใจกันแล้ว การทำมาค้าขาย หรือลงทุนลงแรงร่วมกัน ก็ย่อมเป็นไปด้วยดี” ข้าพเจ้าถือว่านี่ออกมาจากหัวใจของผู้คนที่มีความเป็นมนุษย์ ยิ่งกว่าการเป็นสัตว์เศรษฐกิจ ดังที่สัตว์เศรษฐกิจคุมโลกอยู่ โดยเฉพาะก็ในระบบทุนนิยม บริโภคนิยม ที่สหรัฐและสหภาพยุโรปคุมอยู่ในตะวันตก แล้วจีนก็สมาทานลัทธินี้เช่นกัน โดยมีสิงคโปร์เป็นสุนัขรับใช้ของทั้งสองค่ายนี้ที่ในเอเชียอาคเนย์ มิไยต้องเอ่ยถึงบรรษัทข้ามชาติต่างๆ ซึ่งไม่พ้นจักรวรรดินั้นๆด้วย บรรษัทข้ามชาติในไทยอย่างซีพี และอิตัลไทย และเบียร์ช้าง ก็สมาทานลัทธิดังกล่าว ซึ่งไม่เห็นคุณค่าของกัลยาณมติรหรือคุณค่าของแรงงาน หรือสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ ยิ่งจะให้เข้าใจถึงเอกลักษณ์พิเศษของวัฒนธรรมท้องถิ่นด้วยแล้ว ย่อมไปพ้นความคิดหรือความเข้าใจของสัตว์เศรษฐกิจเหล่านี้เอาเลย โดยที่บรรษัทพวกนี้มีสายสนกลไกเกี่ยวข้องกับชนชั้นนำในจักรวรรดิอเมริกันและจักรวรรดิจีน รวมถึงนักการเมืองในแต่ละประเทศที่สยบยอมอยู่กับลัทธิทุน จนอาจกล่าวได้ว่าสมาทานลัทธิดังกล่าวแทนลัทธิศาสนาของปู่ย่าตายายที่ต่างอ้างว่าเคารพนับถือแต่เพียงทางรูปแบบและพิธีกรรมเท่านั้น
ขอให้กำหนดลงมาที่ทวายแห่งเดียวก็ได้ว่า บริษัทอิตัลไทยต้องการไปลงทุนที่นั่น ด้วยโครงการท่าเรืออ่าวน้ำลึก โดยมีแผนการทำถนนอย่างยิ่งใหญ่ ทะลุเข้าไปทางกาญจนบุรี ด้วยการเชื่อมโยงสิ่งซึ่งอ้างว่าเป็นการพัฒนาอย่างโลกาภิวัฒน์ จนตลอดถึงเมืองจีน โดยเบียดเบียนบีฑาคนแถบถิ่นนั้นอย่างสุดๆ มิไยต้องพูดถึงการทำลายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทั้งหลาย แต่แล้วลำพังบริษัทอิตัลไทยเท่านั้น ก็มีทรัพยากรไม่พอกับโครงการขนาดยักษ์ดังกล่าว นายทักษิณ ชินวัตรซึ่งยิ่งใหญ่เท่าๆกับบรรษัทข้ามชาติ และมีอำนาจเหนือรัฐบาลไทย จึงสั่งให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์เข้าไปลงทุนในโครงการนี้อีกด้วย โดยใช้เงินจากภาษีอากรของราษฎรไทย ดังเมื่อเขาเป็นนายกรัฐมนตรีก็เอาเงินแผ่นดินไปปู้ยี่ปู้ยำกับการลงทุนในพม่า จนนายกรัฐมนตรีพม่าคนหนึ่งต้องปลาสนาการจากอำนาจไปแล้ว แต่ก็ยังไม่มีการพิจารณาถึงประชาชนที่ว่านี้อย่างจริงจัง โดยที่โครงการอันมหึมาก็ยังคงดำเนินที่ทวาย ด้วยการสนับสนุนของรัฐบาลไทย ยังรัฐบาลจีนก็เข้ามาเออออห่อหมกอย่างออกหน้า ดังจะเห็นได้ว่าเมื่อเร็วๆนี้ รัฐมนตรีจีนเข้าพบยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยนำเอาพิณพม่ามามอบให้
แล้วความรับผิดชอบของคนที่ไม่ได้อยู่ในอำนาจและอยู่นอกเหนือบรรษัทนั้นๆจะทำอะไรได้ นี่ข้าพเจ้าขอฝากไว้ให้อภิปรายกัน
III
นิมิตดีก็ตรงที่ กรรมการสิทธิมนุษยชนของไทย สามารถมีบทบาทได้แม้ในพม่า ถ้าคนไทยเข้าไปละเมิดสิทธิชุมชนที่ในประเทศนั้น ทั้งบัดนี้เรายังมีคนไทยเป็นตัวแทนในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของอาเชียนอีกด้วย ยังบทบาทของผู้คนในแวดวงขององค์กรพัฒนาเอกชนที่ต่อสู้กับความชั่วร้ายทางด้านการพัฒนาอย่างบ้าคลั่งของไทย เช่นที่มาบตาพุด ก็อาจโยงใยให้ชาวทวายตื่นตัวขึ้นมาต่อสู้อย่างสันติวิธีได้ โดยเราต้องชมว่าชาวทวายและชาวพม่าตลอดจนชนกลุ่มน้อยอื่นๆ รวมทั้งพระเจ้าพระสงฆ์และบาทหลวง หลายต่อหลายท่าน ลุกขึ้นท้าทายอำนาจรัฐและอำนาจทุนอย่างน่านิยมชมชอบ แม้ในขณะที่พม่ายังเป็นเผด็จการ คนเหล่านี้ก็มีวิญญาณของเสรีภาพและอิสรภาพอย่างน่ายกย่องยิ่งนัก
ข้าพเจ้าได้แต่เตือนพวกเขาว่า เมื่อเปิดประเทศขึ้นเช่นนี้ แม้ดูจะมีเสรีภาพมากขึ้น แต่การต่อสู้กับรัฐและบรรษัทข้ามชาติอาจซับซ้อนกว่าเก่าเสียด้วยซ้ำ โดยขอให้ดูไทยเป็นตัวอย่าง และการที่ตะวันตกเข้ามาในพม่านั้น หลายหน่วยงานอาจหวังดี แต่ความหวังดีนั้นๆ อาจเป็นทุกขลาภก็ได้ และบางหน่วยงานมีเบื้องหน้าเบื้องหลังโดยที่การลงทุนจากตะวันตกอาจไม่สูบเอาซึ่งๆหน้าอย่างจีน แต่ก็มีวิธีขูดรีดอย่างชาญฉลาดกว่า ซึ่งจำต้องเรียนรู้ไว้ ให้รู้จักวางท่าทีที่ถูกต้อง คือต้องหากัลยาณมิตร ทั้งจากฝรั่ง และจากไทย ที่น่ายินดีก็คือคนจีนที่ยืนหยัดขึ้นต่อต้านรัฐบาลอย่างสันติวิธีที่มุ่งสัจจะก็มีขึ้นแล้ว ถ้าเรารวมตัวกัน รับผิดชอบร่วมกัน นั่นอาจเป็นอุปายโกศลประการหนึ่ง
IV
ก็การลงทุนนั้น ไม่จำต้องเป็นบรรษัทข้ามชาติ และรัฐบาลที่ส้องเสพสังวาสกับบรรษัทข้ามชาติเท่านั้น แม้บริษัทเอกชนขนาดย่อมและขนาดกลางก็กระทำได้ โดยที่ในเมืองไทยนี้เองก็มีเครือข่ายนักธุรกิจเพื่อสังคม ซึ่งดำเนินกิจการมาได้ ๑๕ ปีเข้านี่แล้ว เครือข่ายดังกล่าวมีความเข้มแข็งที่ในยุโรปตะวันตกและสหรัฐอเมริกาด้วย แต่บางประเทศในยุโรปมีกิจกรรมเป็นมรรคเป็นผลมากกว่าที่ในสหรัฐ และที่เมืองไทยนี้เอง เครือข่ายนี้ก็ดำเนินกิจกรรมอย่างน่าสังเกต โดยที่นักธุรกิจนั้นๆไม่ได้มุ่งเพียงผลกำไร หากมีแก่ใจกับกรรมกรและลูกจ้างตลอดจนลูกค้า อย่างไม่เอารัดเอาเปรียบกัน และไม่ใช้การโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ เช่น บริษัทในกระแสหลัก ทั้งพวกเขายังมีจิตสำนึกถึงธรรมชาติ โดยไม่เห็นว่าเป็นเพียงทรัพยากรเพื่อนำเอามาเป็นประโยชน์ในเชิงธุรกิจพาณิชยการเท่านั้น หน่วยงานดังกล่าว เรียกชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า Social Venture Network หรือ SVN ได้ร่วมงานกับองค์กรพัฒนาเอกชนในบางเรื่อง บางกรณี อย่างควรแก่การจับตามอง
เมื่อนางอองซานสุจี ถูกกักขังไว้ในบ้านเป็นเวลานานนั้น เธอขอไม่ให้ข้าพเจ้าเข้าไปพม่า เธอว่าจะเป็นการยอมรับรัฐบาลเผด็จการทหาร ซึ่งเคยเชิญข้าพเจ้าไป แต่ข้าพเจ้าปฏิเสธตามคำขอของเธอ ครั้นเมื่อเธอได้รับอิสรภาพ เธอจึงเชิญข้าพเจ้าให้ไปพบที่ราชธานีแห่งใหม่ ข้าพเจ้าได้พาคนสำคัญจากเครือข่ายนักธุรกิจเพื่อสังคมของไทยไปพบเธอด้วย
เราพูดกันอย่างตรงไปตรงมาว่าเธอควรระวังการลงทุนจากบรรษัทข้ามชาติหรือนักลงทุนตัวโตๆ รวมถึงรัฐบาลจากมหาอำนาจ ที่มุ่งการพัฒนาทางด้านวัตถุ โดยไม่คำนึงถึงวัฒนธรรมท้องถิ่นและสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ ข้าพเจ้าเล่าให้เธอฟังถึงกลุ่มอนุรักษ์กาญจน์ที่ต่อต้านท่อแก๊สจากพม่ามาไทยให้เธอฟัง ว่านั่นเป็นการทำลายชุมชนกับทำลายธรรมชาติด้วย โดยที่รัฐบาลไทยและรัฐบาลพม่าออกหน้า หากได้ผลน้อยแต่ให้โทษมากกว่า แต่บรรษัทข้ามชาติคือยูโนแคลในสหรัฐและโตตัลในฝรั่งเศสได้ผลเต็มที่
เธอตั้งใจฟัง และรับข้อเสนอจากฝ่ายเราว่า เธอพร้อมจะเชิญนักธุรกิจเพื่อสังคมจากไทยและจากประเทศอื่นๆไปลงทุน โดยเธอบอกว่าเธอจะมาเยี่ยมข้าพเจ้าที่เมืองไทย และจะขอพบนักธุรกิจเพื่อสังคมชาวไทย เพื่อหาทางวางแผนร่วมกันในการลงทุนที่แผกไปจากเดิม
อนึ่ง นักธุรกิจเพื่อสังคมของไทยยังได้รับปากด้วยว่าจะช่วยฝึกคนพม่าในไทย ที่มาเป็นแรงงาน หากต้องการจะกลับไปลงทุนในพม่า ก็จะหาทางช่วยเหลือเกื้อกูล โดยเราต้องไม่ลืมว่าบริษัทพม่าเป็นจำนวนมิใช่น้อยได้มาลงทุนในเมืองไทยอยู่ด้วย ถ้าเราโยงใยนักธุรกิจพม่าเหล่านี้ให้มาเป็นกัลยาณมิตรกับนักธุรกิจเพื่อสังคมของไทย น่าจะเป็นนิมิตหมายที่ดี
เป็นที่น่าเสียใจ ที่อองซานสุจีไม่ได้ทำตามคำพูดที่เราตกลงกันไว้ เพราะเธอมุ่งมั่นทางการเมืองในระดับชาติ ถึงขนาดต้องการเป็นประธานาธิบดี จึงยอมไกล่เกลี่ยหลักการ เพื่อประชานิยมเท่านั้นเอง
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ความมักใหญ่ใฝ่สูงทำลายสาธุชนคนดี คนที่มีสติย่อมรู้ว่าอะไรควรทำในบัดนี้ เพื่อผลประโยชน์ของพหูชน ยิ่งกว่าเพื่อความยิ่งใหญ่ของตน หรือหวังผลข้างหน้า
มากเกินไป ไม่ว่าจะในทางทรัพย์ศฤงคารหรืออำนาจวาสนา
อย่างน้อยประธานที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของประธานาธิบดีพม่า ก็ฟังคำเตือนของพวกเรา ซึ่งเป็นกัลยาณมิตรกับท่าน ท่านประธานาธิบดีก็ฟังคำเตือนจากพวกเราอย่างจริงใจ แต่อำนาจของประธานาธิบดี ที่มีทหารเป็นรัฐภายในรัฐและนายพลเหล่านี้คุ้นเคยมากับความทุจริตต่างๆ อย่างไม่เห็นอำนาจเป็นธรรม ย่อมยากที่จะแก้ไขอะไรๆได้
จะอย่างไรก็ตาม ขบวนการทางสังคมของพม่าได้กล้าแข็งขึ้นอย่างน่านิยมชมชื่น พระเจ้าพระสงฆ์ของพม่าและของชนเผ่าต่างๆมีความกล้าหาญทางจริยธรรมอย่างที่พระไทยทาบไม่ติดเอาเลย แม้พระคุณเจ้าบางรูปจะยังชาตินิยมจัด อาจเกลียดคริสต์ หรือมุสลิม เมื่อท่านเข้าใจเขาซึ่งเป็นมนุษย์ด้วยกัน ชี้แจงให้ท่านเห็นว่า คนที่ต่างศาสนาก็เป็นกัลยาณมิตรกันได้ ท่านได้เริ่มเปลี่ยนท่าทีอย่างน่าทึ่ง
อาจสรุปได้ว่าพม่าเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่น่าสนใจยิ่ง เราเคยถือว่าเขาเป็นศัตรูกับเรา แต่เขาไม่ได้คิดเช่นนั้น เราเคยหยิ่งยะโสว่าเราไม่เคยเป็นเมืองขึ้นฝรั่ง ในขณะที่เขาถูกผนวกเข้าไว้ในจักรวรรดิอินดีย แต่เขาปลดแอกจากฝรั่งได้และยังคงเอกลักษณ์ของความเป็นพม่าไว้อย่างน่าสรรเสริญ ในขณะที่เรายังเดินตามก้นฝรั่งอย่างไร้จิตสำนึก และการอ้างถึงความเป็นไทยนั้นเป็นวาทกรรมทางการเมือง หากขาดการแสดงทางวัฒนธรรมของตัวเองอย่างจริงจัง มาถึงตอนนี้พม่าจะเอาอย่างไทยในทางเลวร้ายคล้ายๆกับภูฐานหรือไม่ น่าสงสัย อย่างน้อยองค์กรเอกชนในพม่า และนักธุรกิจในพม่าจำนวนหนึ่งรวมถึงพระเจ้าพระสงฆ์ได้พร้อมที่จะเป็นกัลยาณมิตรกับเรา เราน่าจะเรียนจากเขา ฟังเขา ร่วมรับรู้ถึงความทุกข์ของเขา ซึ่งหลายครั้งมาจากไทยที่เป็นสื่อให้จีนและฝรั่งอีกที แม้ไทยอาจจะดีกว่าสิงคโปร์ ก็ไม่มากนัก ถ้าเราตีประเด็นนี้แตก ว่าความรับผิดชอบทางสังคม ผู้คนต้องไม่เป็นสัตว์เศรษฐกิจเช่นสิงคโปร์ หากมีความเป็นมนุษย์ที่รักอิสระ เสรีภาพ ความงาม ความดี และความจริง ยิ่งกว่าเงินและอำนาจ เราจะรับผิดชอบกับสังคมไทยเท่าๆกับรับผิดชอบกับสังคมเพื่อนบ้านของเราอย่างพม่า และจากความเป็นมิตรนี้แล การลงทุนและธุรกิจการค้า หรือกรณียกิจอื่นๆก็จะเป็นไปในทางที่เป็นกุศล สมดังคำของมหาเทวีแห่งยางห้วย อดีตสตรีหมายเลขหนึ่งคนแรกของสหภาพพม่า
จึงขอจบปาฐกถานี้ด้วย ถ้อยคำของเจ้านางร่มขาว อดีตสตรีหมายเลขหนึ่งของสหภาพพม่า โดยนำมาเอ่ยซ้ำไว้ในที่สุดนี้ คือ
“คุณสุลักษณ์ ไทยกับไทยใหญ่ หรือชนชาติใดในพม่าก็ตาม ควรเป็นเพื่อนกันก่อน เมื่อเป็นเพื่อนอย่างไว้เนื้อเชื่อใจกันแล้ว การทำมาค้าขาย หรือลงทุนลงแรงร่วมกัน ก็ย่อมเป็นไปด้วยดี”
ส.ศิวรักษ์ ปาฐกถา ณ อาคารมหาจุฬาลงกรณ์
คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เมื่อวันอังคารที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๖
ที่มา:https://www.facebook.com/sulak.sivaraksa/posts/10151735776637798