กสทช.ยันแก้"ซิมดับ"ทำถูกต้อง ชี้กสท.ฟ้อง3แสนล.ตัวเลขเวอร์
นายสุทธิพล ทวีชัยการ กรรมการ กสทช. ด้านกฎหมาย กล่าวว่า จากกรณีที่ประชุมคณะกรรมการ กสท เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2556 มีมติให้บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT ยื่นฟ้องร้องต่อศาลปกครอง เพื่อขอเพิกถอนประกาศ กสทช. เรื่องมาตรการคุ้มครองผู้ใช้บริการโทรคมนาคมในกรณีสิ้นสุดอายุการอนุญาตสัมปทาน หรือสัญญาประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2556 (ประกาศห้ามซิมดับ) ยอมรับว่าเป็นสิทธิของ CAT สามารถดำเนินการได้ แต่ต้องรอให้กระบวนการทางศาลเป็นผู้ตัดสิน เพราะ กสทช.ได้คาดการณ์เรื่องดังกล่าวไว้แล้วว่า CAT ในฐานะเป็นผู้ประกอบการที่เคยได้ประโยชน์จากสัญญาสัมปทานย่อมพยายามใช้สิทธิอย่างเต็มที่ในการปกป้องผลประโยชน์ที่เคยได้รับ และจะได้รับผลกระทบจากการสิ้นสุดของสัญญาสัมปทานคลื่นความถี่ 1800 MHz
ขณะที่ กสทช.เป็นองค์กรทำหน้าที่จัดสรรคลื่นความถี่และกำกับดูแล ย่อมมีหน้าที่ตามกฎหมาย อีกทั้งยังต้องคุ้มครองผู้ใช้บริการไม่ให้ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนผ่านของระบบสัมปทานไปสู่ระบบใบอนุญาต กสทช.จึงต้องบังคับใช้ “ประกาศห้ามซิมดับ” เพื่อดูแลประชาชนผู้ใช้บริการกว่า 18 ล้านคน ยอมรับว่า ตราบใดที่ศาลปกครองกลางยังไม่มีคำสั่งเพิกถอนหรือสั่งห้ามบังคับใช้ประกาศห้ามซิมดับ การคุ้มครองประชาชนผู้ใช้บริการตามเงื่อนไขของประกาศดังกล่าวยังคงเดินหน้าต่อไป ดังนั้น ประชาชนผู้ใช้บริการในระบบ 2 จี บนคลื่น 1800 MHz แม้สิ้นสุดสัมปทานจะไม่ได้รับผลกระทบ จึงขอให้ประชาชนอย่าได้ตื่นตระหนกต่อกรณีที่ CAT ยื่นฟ้องในคดีดังกล่าว ขณะที่ กสทช.พร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
พ.อ.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ รองประธาน กสทช. กล่าวว่า การออกประกาศห้ามซิมดับไม่ได้เป็นการให้ “สิทธิ” ใดๆ ในการใช้คลื่นความถี่แก่ผู้ประกอบการรายเดิม แต่เป็นการกำหนด “หน้าที่” ให้บริการต่อไป เพื่อไม่ให้บริการสาธารณะต้องหยุดชะงัก ดังนั้น ทั้ง CAT และผู้รับสัมปทานเดิมจึงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามประกาศฯ โดยไม่สามารถอ้างสิทธิเดิมตามสัญญาสัมปทานที่สิ้นสุดไปแล้ว ดังนั้น การที่ CAT ฟ้องเรียกค่าเสียหายกว่า 300,000 ล้านบาทที่ไม่เป็นจริง จึงฟังไม่ขึ้น อีกทั้งยังต้องใช้งบประมาณของรัฐสูงถึง 280 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าขึ้นศาลในการฟ้องคดีต่อ กสทช. แสดงให้เห็นชัดเจนว่าเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตและทำให้รัฐเสียหายอย่างมาก หากผลการดำเนินการฟ้องคดีดังกล่าวมีความเสียหายเกิดขึ้น ผู้บริหารที่เกี่ยวข้องของ CAT ต้องออกมาแสดงความรับผิดชอบด้วย
ขอขอบคุณข่าวจาก