ข้าวไทยขายสิงคโปร์ตกชั้นเจออินเดียแซง
ข้าวอินเดียแซงหน้าไทย ขึ้นแท่นส่งออกข้าวรายใหญ่ให้กับสิงคโปร์เป็นครั้งแรก
หนังสือพิมพ์สเตรทไทมส์ของสิงคโปร์ เปิดเผยว่า อินเดียเลื่อนขั้นกลายเป็นประเทศผู้ผลิตและจัดส่งข้าวสู่อันดับหนึ่งของตลาดนำเข้าข้าวของสิงคโปร์แซงหน้าไทยเป็นครั้งแรกในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2556 โดยวัดปริมาณการส่งออกได้ 92,865 ตัน หรือราว 32.9% ของปริมาณข้าวทั้งหมดที่ผลิตขึ้นภายในอินเดีย
ขณะที่ไทยมีปริมาณอยู่ที่ 85,816 ตัน หรือ 30.4% และเวียดนามตามมาเป็นอันดับ 3 ที่ 77,759 ตัน หรือ 27.4% ในช่วงเวลาเดียวกัน
ทั้งนี้ ช่วงปี 2541-2554 ไทยถือเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของสิงคโปร์ โดยมีปริมาณสูงถึงครึ่งหนึ่งของปริมาณข้าวที่มีการบริโภคภายในสิงคโปร์ ก่อนที่ส่วนแบ่งตลาดข้าวไทยจะลดลงเหลือ 35.3% ในช่วงปีที่ผ่านมา เนื่องจากปริมาณส่งออกข้าวของอินเดียและประเทศอื่นๆ เพิ่มขึ้น โดยปีที่แล้วสิงคโปร์มีปริมาณนำเข้าข้าวจากอินเดียเพิ่มขึ้น 29.5% จากเดิมที่ 15.3% ในปี 2552
โฆษกกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมแห่งสิงคโปร์ กล่าวว่า ผู้นำเข้าข้าวของประเทศอาศัยประโยชน์จากราคาข้าวของอินเดียที่มีราคาถูกกว่าเมื่อเทียบกับราคาข้าวของไทย
ด้านนายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและ รมช.เกษตรฯ กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเพื่อ|ขยายวงเงิน และจะเร่งรัดให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จ่ายเงินค่าข้าวจำนวน 4.25 แสนตัน เป็นวงเงิน 6,000 ล้านบาท ให้เกษตรกรโดยเร็วกรณีที่เกษตรกรยังไม่ได้รับเงินจากการจำนำข้าวในฤดูกาลที่ผ่านมา ซึ่งเป็นส่วนที่เกินจากวงเงินที่รัฐกำหนดไว้ เนื่องจากมีเกษตรกรนำข้าวมาจำนำเป็นจำนวนมาก
สำหรับกรณีที่เกษตรกรจำนวนประมาณ 8.9 แสนราย ที่เข้าร่วมโครงการไม่ทันวันที่ 15 ก.ย. 2556 นั้น คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) กำลังอยู่ระหว่างการนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณามาตรการเยียวยาช่วยเหลือเกษตรกดังกล่าว
ด้าน นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) อดีตปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า เป็นห่วงการจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล อาทิ โครงการรับจำนำข้าว ที่อาจมีผลกระทบต่อวินัยทางการคลังซึ่งปลัดกระทรวงการคลังคนใหม่จะต้องดูแลการใช้เงินให้ครอบคลุม มีความเหมาะสมและโปร่งใส ต้องให้เป็นไปตามกรอบวินัยทางการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด
“อยากให้คลังดูแลเรื่องการใช้งบประมาณให้เหมาะสมที่สุด ให้มีทั้งความชัดเจน และความโปร่งใส เพราะเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง” นายอารีพงศ์ กล่าว
ขอขอบคุณข่าวจาก