บุคลากรอุดมศึกษารัฐ ตบเท้าพบ ‘จาตุรนต์’ ยื่น 7 ข้อขอความเป็นธรรม
ศูนย์ประสานงานบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ ระบุดชัดเรื่องเร่งด่วน ขอให้แก้ไขมติ ครม.ปี 2542 ที่เกี่ยวข้องกับพนักงานมหาวิทยาลัยทั้งหมด ให้มีความชัดเจนและเป็นธรรมมากขึ้น และเยียวยาใน 3 ระยะ คือ ต้น กลาง และยาว เช่น จ่ายเงินเดือนเต็มจริงๆ รวมถึงค่าตอบแทนทางวิชาการ 2 เท่าเหมือนระบบราชการเดิม

วันที่ 10 ต.ค. 2556 รศ. ดร. วีรชัย พุทธวงศ์ ในฐานะเลขาธิการศูนย์ประสานงานบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ และคณะตัวแทนบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศ เข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อแสดงความยินดีในโอกาสการเข้ารับตำแหน่ง และยื่นหนังสือแจ้งข้อมูลความเหลื่อมล้ำ เพื่อขอความเป็นธรรมให้กับบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ ซึ่งในปัจจุบันมีทั้งหมด 165,341 คน มีข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาจำนวน 33,649 คน นอกนั้นเป็น พนักงานมหาวิทยาลัยและบุคลากรประเภทอื่นๆ โดยพนักงานมหาวิทยาลัยมีสัดส่วนที่มากที่สุด เกิดขึ้นจากมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่12 ตุลาคม พ.ศ. 2542 ที่ให้จ้างพนักงานทดแทนอัตราข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย เพื่อรองรับการเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐในปี พ.ศ. 2545
ประเด็นสำคัญตามเอกสารที่ยื่นคือ
1. ขอให้มีการปรับเพิ่มอัตราเงินเดือนข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ในอัตราที่เท่ากับการปรับเพิ่มเงินเดือนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาอื่นในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการซึ่งมีการปรับเพิ่มในปีพ.ศ. ๒๕๕๔ สองครั้ง (๘ % และ ๕%) แต่ปรับเพิ่มให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาในปีพ.ศ. ๒๕๕๔ เพียงหนึ่งครั้ง (๕%) เพื่อเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมตลอดจนสร้างขวัญและกำลังใจในการทุ่มเททำงานแก่ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาทั้งสายอาจารย์และสายสนับสนุน
2. ขอให้เพิ่มระยะเวลา สัญญาจ้างของพนักงานมหาวิทยาลัย ที่จ้างด้วยเงินงบประมาณแผ่นดิน และเงินรายได้ เพราะบางมหาวิทยาลัยมีระยะเวลาจ้างเพียง 3-5 ปี ส่งผลกระทบต่อขวัญกำลังใจ ทำให้ขาดเสรีภาพทางวิชาการ และการวิพากษ์วิจารณ์ อิสระทางวิชาการ ศักดิ์ศรี และความไม่มั่นคงในอาชีพ รวมทั้งสัญญาจ้างระยะสั้นส่งผลให้การทำธุรกรรมต่างๆ ไม่มีความน่าเชื่อถือ
3. การไม่ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีของ มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ ในการจ้างพนักงานมหาวิทยาลัยทั้งจากเงินงบประมาณแผ่นดิน และเงินรายได้ของมหาวิทยาลัยเอง ซึ่งตามมติ ครม. ต้องให้ได้รับเงินเดือนในอัตราเพิ่มขึ้น 1.7 เท่า สำหรับ สายวิชาการ และ 1.5 เท่าสำหรับสายสนับสนุน ปัญหานี้เกิดมานานกว่า 14 ปี เพราะรัฐบาลให้งบประมาณเงินเดือนแก่มหาวิทยาลัยจ่ายจริง 1.5-1.7 แต่มหาวิทยาลัยหลายแห่งไม่ปฏิบัติตาม โดยจ่ายเพียง 1.0-1.5 โดยนำเงินที่ได้รับมาหักไปใช้ผิดวัตถุประสงค์
4. การขอรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์แก่พนักงานมหาวิทยาลัย ยังมิได้มีการแก้ไขกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการขอรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่ชัดเจน
5. การได้รับสิทธิประโยชน์ที่รัฐฯ มอบให้มีความเหลื่อมล้ำ พบว่าสิทธิประโยชน์ต่างๆ ยังไม่ครอบคลุมถึงพนักงานมหาวิทยาลัย เช่น เงินรางวัล (เงินพิเศษโบนัส) ที่รัฐบาลมอบให้บุคลากรของรัฐที่สร้างสรรค์ผลงานให้แก่องค์กร โดยผลงานเกิดจากพนักงานมหาวิทยาลัยแต่โบนัสกลับมิได้ถูกจัดสรรแจกจ่ายให้แก่พนักงานมหาวิทยาลัย
6. สิทธิในการรักษาพยาบาล ที่อยากให้ใช้โมเดลของ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่ได้ทำให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ไปแล้ว
7. สิทธิ์ในการโยกย้ายมหาวิทยาลัย ที่ยังไม่มีระเบียบชัดเจน
โดย ศูนย์ประสานงานบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ ได้เสนอให้มีการดำเนินการเร่งด่วน ในส่วนของพนักงานมหาวิทยาลัยคือ แก้ไขมติ ครม.ปี 2542 ที่เกี่ยวข้องกับพนักงานมหาวิทยาลัยทั้งหมด ให้มีความชัดเจนและเป็นธรรมมากขึ้น และเยียวยาใน 3 ระยะ คือ ต้น กลาง และยาว โดย
- ระยะต้นให้พิจารณาออกมติ ครม.ใหม่ โดยให้สำนักงบประมาณที่สนับสนุนงบประมาณให้ทุกมหาวิทยาลัยจ่ายเงินเดือนเต็มจริงๆ รวมถึงค่าตอบแทนทางวิชาการสองเท่าเหมือนระบบราชการเดิม ส่วนสัญญาจ้างที่เป็นธรรมนั้น เมื่อผ่านการประเมินงานครั้งแรกแล้ว ให้กำหนดจ้างให้ถึงอายุ 60 ปี ทุกมหาวิทยาลัย และระบบสวัสดิการเกื้อกูลควรไม่น้อยกว่าระบบราชการเดิม ส่วนนโยบายรัฐบาลที่มีการเพิ่มเงินเดือนให้กับข้าราชการนั้น ให้รวมถึงพนักงานมหาวิทยาลัยด้วย เพราะทุกครั้งที่มีการกำหนดนโยบายประชานิยมของรัฐบาล พนักงานมหาวิทยาลัยคือกลุ่มคนกลุ่มแรกที่ถูกลืมเนื่องจากไม่ปรากฏตัวตนในระบบ
- ระยะกลางคือระเบียบเกณฑ์กลางจาก ก.พ.อ.ที่จะกำหนดกฎหมายที่เกี่ยวข้องและเป็นธรรมต่อพนักงานมหาวิทยาลัยทั้งประเทศ
- ระยะยาวคือการจัดทำบัญชีอัตราเงินเดือน และค่าตอบแทนพนักงานมหาวิทยาลัย ที่มาจากส่วนกลาง หน่วยงานที่รับผิดชอบ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาที่เมื่อรัฐนำเงินเดือนในหมวดงบประมาณอุดหนุน มอบให้มหาวิทยาลัยจัดสรรแล้ว ไม่ได้ปฏิบัติตามเจตนาของการอุดหนุน
