ฟังชัดๆ จากปาก“สุทธิพงษ์” คนค้นฅน ตอน “ศศิน” ถูกเซ็นเซอร์ช่วงไหนบ้าง?
“สำหรับผม ผมอยากให้แยกรายการคนค้นฅน นายสุทธิพงษ์ และนายประสานออกจากกันก่อนนะครับ คือเมื่อมีการระงับ ในเจตนาที่แท้จริงของผม ผมเอนเอียงมาทางคุณศศิน แต่ผมก็ยังเชื่อว่าในความเป็นจริง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการเมือง กับรัฐบาล หรือรัฐมนตรีคนใดและผมจะไม่พยายามทำให้การตั้งป้อม ทำให้เราละเลยความเป็นจริง"
(ภาพจากoknation)
กรณีรายการคนค้นตน เทปการเดินต้านเขื่อนแม่วงก์ของ นายศศิน เฉลิมลาภ เลขาธิการมูลนิธิสืบ นาคะเสถียร ที่ต้องออกอากาศ เมื่อวันเสาร์ที่ 28 ก.ย. เวลา 14.00 น. ที่ผ่านมา ถูกกองเซ็นเซอร์ช่อง 9 สั่งงดออกอากาศกะทันหัน โดยให้เหตุผลว่า เรื่องนี้ไม่มีความสมดุลของทั้งสองฝ่ายที่สนับสนุนและคัดค้าน นั้น
(อ่านประกอบ:"ทีวีบูรพา" ปล่อยเทปคนค้นตน "อ.ศศิน" ผ่านยูทูปหลังถูกช่อง 9 "เซนเซอร์")
เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2556 ที่ผ่านมา นายสุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ หรือ “เช็ค” ผู้บริหารบริษัททีวีบูรพา จำกัด ผู้ผลิตรายการคนค้นตน ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
โดยนายสุทธิพงษ์ได้เปิดใจกับสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org โดยละเอียดหลายประเด็น อาทิ เนื้อหาส่วนที่กองเซ็นเซอร์ต้องการให้ปรับ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่อยู่นอกเหนือจากข่าวที่เผยแพร่ออกมาว่าต้องการให้นำเสนอข้อมูล 2 ด้าน รวมถึงประเด็นเรื่องมาตรฐานของการเซ็นเซอร์ว่าอยู่ตรงไหนแน่
และการคุกคามสื่อที่นายสุทธิพงษ์ย้ำว่าสื่อต้องกล้าที่จะยืนหยัด ไม่ตกอยู่ภายใต้อคติความหวาดกลัว อุปาทาน และคิดเองเออเอง
“ผมไม่ได้เป็นคนที่คุยกับเจ้าหน้าที่ของช่องด้วยตัวเอง คนที่คุยคือคุณประสาน ( อิงคนันท์ ) ซึ่งในตอนนั้น คุณประสานยังยุ่งอยู่กับการประกวดคนค้นฅนอวอร์ดที่นครศรีรรมราช คุณประสานก็โทรมาเล่าให้ผมฟังทางโทรศัพท์ว่ามีเจ้าหน้าที่จากทางช่องขอให้มีการปรับ โดยมีรายละเอียดอยู่ใน 2 ช่วง คือ ขอให้ถ่ายเปิดรายการใหม่ ซึ่งผมก็ไม่ได้คุยกับคุณประสานมากกว่านี้ในตอนนั้น แล้วตอนที่เจ้าหน้าที่โทรหาคุณประสานก็เป็นเวลาบ่าย 3 โมงของวันศุกร์ ซึ่งรายการจะออกอากาศในวันเสาร์แล้ว ก็ไม่ทันแน่นอน"
"ส่วนจุดที่ถูกแก้ มีอยู่ 2 จุด คือ 1. ในเนื้อหาจะมีเหตุการณ์ที่คุณศศินเดินผ่าน อ. ลาดยาว เป็นเวลาค่ำ ไม่สามารถที่จะนอนพักที่นี่ได้ คุณศศินก็ไปนอนพักที่อื่นแล้วตอนเช้าจึงกลับมาเริ่มเดินต่อจากจุดเดิม เพราะมีความกังวลเรื่องความไม่ปลอดภัย คุณศศินบอกในทำนองว่า“มีแรงกดดัน เขาไม่อนุญาตให้เดิน”
“อีกจุดหนึ่ง เป็นตอนที่คุณศศิพูดถึงบรรยากาศของบ้านเมือง ว่าตอนนี้มันเหมือนกับช่วง 14 ตุลาคม 2516 กับ 6 ตุลาคม 2519 มันเป็นบรรยากาศที่ใครจะออกมาแสดงความคิดที่เห็นต่างแล้วจะมีความกังวล หวาดกลัว นี่เป็นจุดที่เขาอยากให้ปรับ แล้วนอกจากนี้ผมก็ไปถ่ายผู้เปิดรายการใหม่ แต่ก็โดนเซ็นเซอร์”
เมื่อถูกช่อง 9 เซ็นเซอร์ นายสุทธิพงษ์ อธิบายความรู้สึกว่าการที่เทปไม่ได้ออกอากาศ ตนในฐานะคนที่เซ็นสัญญากับช่องแล้ว และทำงานมา 10 กว่าปี ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก ทุกครั้งที่ผ่านมาถ้าพูดถึงแก่นแท้เรื่องความรู้สึกที่แท้จริงตนก็ไม่ได้เห็นด้วยกับที่ฝ่ายเซ็นเซอร์เขาให้เหตุผลมาในครั้งนี้ แต่ที่ผ่านมาบางอันตนก็เห็นด้วย หรือแม้บางครั้งตนไม่เห็นด้วยแต่ก็เคารพในกติกา
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า มีความเห็นอย่างไรต่อกรณีที่นายเอนก เพิ่มวงศ์เสนีย์ กรรมการและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท.จำกัด มหาชน ชี้แจงว่าเป็นเพราะฝ่ายเซ็นเซอร์ต้องการให้มีข้อมูลที่เห็นต่างนำเสนอด้วยนั้น นายสุทธิพงษ์ตอบว่า
“โดยรูปแบบรายการคนค้นฅน ตอนที่เราทำ TOR เซ็นสัญญากันกับทางช่องมีการระบุไว้อย่างละเอียด เราบอกไว้ชัดว่ามันไม่ใช่รายการที่จะมีการนำเสนอความเห็นต่าง หากจะมีก็สามารถทำได้ในครั้งต่อมา ถ้าจะให้เราทำความเห็นต่างอีกครั้งก็ได้ แต่การจะให้นำเสนอในครั้งเดียวกัน ก็ แหม เขาไม่เข้าใจรายการและรูปแบบรายการ”
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าจะร้องเรียนต่อผู้บริหารช่อง 9 หรือไม่ นายสุทธิพงษ์กล่าวว่าตนไม่ติดใจประเด็นนี้
“สำหรับผม ผมอยากให้แยกรายการคนค้นฅน นายสุทธิพงษ์ และนายประสานออกจากกันก่อนนะครับ คือเมื่อมีการระงับ ในเจตนาที่แท้จริงของผม ผมเอนเอียงมาทางคุณศศิน แต่ผมก็ยังเชื่อว่าในความเป็นจริง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการเมือง กับรัฐบาล หรือรัฐมนตรีคนใดและผมจะไม่พยายามทำให้การตั้งป้อม ทำให้เราละเลยความเป็นจริง ผมเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้น มันเกิดขึ้นมาจากความกังวล หรือความกลัวของเจ้าหน้าที่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ผู้นั้นจะเป็นใครผมก็ไม่รู้ แต่จากการประมวลตามที่ท่าน ผอ. ใหญ่พูด ผู้ใหญ่ในช่องไม่รู้เรื่องนี้ ผมก็เข้าใจเจ้าหน้าที่กองเซ็นเซอร์เขานะ หากเปรียบกับคุณศศิน คุณศศินเองก็ยอมรับกับผมว่าเขากลัว แต่เขาก็ต้องทำ เพราะมันเป็นหน้าที่ของเขา ส่วนคนเซ็นเซอร์เขาก็ทำไปตามหน้าที่ของเขา แต่การทำหน้าที่ของคุณศศินมีแต่คนแซ่ร้องสรรเสริญ”
นอกจากนี้ นายสุทธิพงษ์เปิดใจด้วยว่า ทีมงานคนค้นฅนและฅ คน แม็กกาซีน ติดตามไปทำข่าวนายศศิน ตั้งแต่วันที่ สองที่เริ่มเดิน วันแรกเราเตรียมตัวกันอยู่ เลยไปไม่ทันแต่การที่เราไปยังไม่มีสื่อไหน ไม่ว่ากระแสหลัก หรือว่ากระแสรอง ติดตามทำข่าวนี้ เราเป็นสื่อแรกที่ไป แต่พอใกล้จะออกอากาศคุณศศินก็ออกอากาศสื่อต่างๆ แทบทุกที่ แม้กระทั่งวอยซ์ทีวี แล้วส่วนใหญ่ คุณศศินก็ไปฝ่ายเดียว แต่ก็มีการเซ็นเซอร์คนค้นฅนในเรื่องนี้
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าท้อไหม ที่หลังจากเกิดเรื่องข้าว ก็มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอีก นายสุทธิพงษ์ตอบว่า “ผมไม่ท้อ ตรงกันข้าม ยิ่งยืนหยัด ผมไม่ได้ห่วงรายการ ไม่ได้ห่วงนายสุทธิพงษ์ แต่ห่วงการตกอยู่ภายใต้ความหวาดกลัว อุปาทาน ความวิตกกังวล สิ่งนี้ต่างหากมันทำให้สื่อฯจำนวนมาก ไปสะกดจิตตัวเองว่ารัฐบาลจะปิดบังอะไรเราแน่ ทั้งๆ ที่บางทีเขาอาจจะไม่ได้ทำอะไร เพราะฉะนั้น ความไม่กล้าหาญของสื่อฯ เอง จะไปโทษผู้อื่นก็ไม่ถูกนัก”
ส่วนการถูกเซ็นเซอร์ นายสุทธิพงษ์กล่าวว่าพยายามไม่ไปค้นหาความจริง ผู้ที่ทำอาจจะปรารถนาดีต่อทุกฝ่ายและตนหวังว่าเหตุการณ์นี้ไม่ควรนำไปสู่การมีอคติ ไม่ควรมีการด่าทอกันอย่างหยาบคาย แต่ควรจะทำให้ทุกคนสามารถพูดและแสดงออกอย่างมีวุฒิภาวะ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามอีกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นการปิดกั้นข่าวสารหรือคุกคามสื่อหรือไม่ นายสุทธิพงษ์ตอบว่า
“นักข่าว Thai PBS ถามผมแบบนี้ ผมตอบเขาด้วยการเอาเทปมาปิดปาก ปิดตา ปิดหู แต่คำตอบนั้น มันเป็นคำตอบที่เป็นแค่ความรู้สึกต่อ “ภาวะการณ์” ไม่ใช่ตัวบุคคล มันไม่ใช่การกล่าวหาใคร แต่เรากำลังตกอยู่ในภาวะการณ์เช่นนั้น ไม่ใช่ผลผลิตจากใครคนใดคนหนึ่ง และผมหวังอย่างยิ่งว่าจากเหตุการณ์นี้ เราจะใช้อคติไม่ได้ เราจะหวาดกลัวไม่ได้ เราจะคิดเองเออเองไม่ได้ ในความเป็นจริงมันอาจเป็นสิ่งที่ผู้น้อยคิดแทนผู้ใหญ่”
นอกจากนี้นายสุทธิพงษ์กล่าวถึงการเซ็นเซอร์ด้วยว่าตนตั้งข้อสังเกตุถึงการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่และเห็นว่า เรื่องนี้ควรทบทวนกันอย่างจริงจังว่ามาตรฐานอยู่ตรงไหน
“มันเป็นวิจารณญาณและเป็นวิจารณญาณของแต่ละบุคคล แต่ละเสียง แต่ละช่อง มันไม่มีมาตรฐานในการเซ็นเซอร์ทั้งที่มันควรจะมีมาตรฐาน เมื่อมันเป็นเรื่องของความเห็น มีบริบทต่างกัน ทัศนะคติต่างกัน ความกังวลต่างกัน ดังนั้น อะไรคือมาตรฐาน นี่เป็นเรื่องที่ต้องถามไปถึง กสทช.”
สำหรับเหตุการณืที่เกิดขึ้น นายสุทธิพงษ์กล่าวอีกว่าตนไม่แน่ใจว่ากองเซ็นเซอร์มีอำนาจสั่งระงับหรือไม่
“แต่ผมเชื่อว่ามันต้องมีเจตนา แม้เขาบอกไม่ได้ห้าม แต่เงื่อนไขที่เขามีตามมานั้นมันเป็นยังไง แต่ที่เราเห็นได้ชัดจากเรื่องนี้ก็คือการปิดกั้นข้อมูลข่าวสารในปัจจุบันนี้ยิ่งทำได้ยาก หากทำอะไรที่ขัดสามัญสำนึก ขัดกับความถูกต้องชอบธรรม ผมว่ามันยิ่งเป็นการเชิญแขก เรื่องนี้ถ้าคิดให้ดีแล้ว คนที่เขาคิดเป็น เข้าใจและรอบคอบ เขาก็คงไม่เห็นว่าเนื้อหาที่นำเสนอมันมีจุดใดที่ต้องกังวล เพราะสิ่งที่รายการเราถ่ายทอดออกไปคือความมุ่งมั่นของเจ้าหน้าที่ในมูลนิธิสืบ นาคะเสถียร ในแง่ของคนต้นเรื่องที่เรานำเสนอในเรื่องของความกล้าหาญ”
นอกจากนี้นายสุทธิพงษ์กล่าวว่า การนำเสนอผ่านยูทูปไม่ได้ทำไปเพื่อเป็นการประชดประชันใคร แต่คือสิ่งที่ยืนยันว่า
“ในเนื้อหา 2 ส่วนที่เขากังวล เมื่อเผยแพร่ออกไปก็ไม่มีใครที่ดูแล้วจะหยิบมาเป็นประเด็นอะไร เมื่อเผยแพร่สู่สาธารณะแล้ว คนที่ได้ดูก็เข้าใจในสาระสำคัญที่เราต้องการนำเสนอ” นายสุทธิพงษ์ระบุ
ล่าสุดในช่วงเวลา 19.00 น. วันที่ 30 กันยายน สำนักข่าวไทย รายงานว่า เทปรายการ "คนค้นฅน" เรื่องเขื่อนแม่วงก์ ไม่ได้ออกอากาศเสาร์ที่แล้ว จะนำมาออกอากาศวันที่ 12 ตุลาคมนี้ หลังบริษัทแก้ไขเนื้อหาบางส่วนให้มีข้อมูลทั้ง 2 ด้านแล้ว