“นักวิชาการ” ฉะ นโยบาย ศก. ทุกพรรค ‘เจ้าบุญทุ่ม’ จนโอเว่อร์
"วิทยากร เชียงกูล" ถาม รัฐจะหาเงินจากไหน สานต่อนโยบาย ลด-แลก-แจก-แถม ย้ำ เงินภาษีประชาชน-สมบัติแผ่นดิน ต้องใช้ให้เกิดประโยชน์ ไม่ใช่อีลุ่ยฉุยแฉก
วันที่ 12 มิถุนายน เวทีพลเมืองอภิวัฒน์ คนเปลี่ยน ประเทศไทยเปลี่ยน จัดกิจกรรม “20 คมความคิด 20 ปฏิบัติการเปลี่ยนประเทศไทย” เป็นวันที่ 2 โดยมี รศ.วิทยากร เชียงกูล คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต บรรยายหัวข้อ “นโยบายเศรษฐกิจพรรคการเมือง และข้อเสนอเพื่อการปฏิรูปทางเศรษฐกิจที่เป็นจริง” ณ หอประชุมศรีบูรพา (หอประชุมเล็ก) มหาวิทยาธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
รศ.วิทยากร กล่าวถึงนโยบายหาเสียงของพรรคการเมืองว่า มีการชูนโยบายด้านเศรษฐกิจ เพื่อใช้ในการแข่งขันค่อนข้างมาก เนื่องจากเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับปากท้องและวิถีชีวิตของประชาชน แต่หากพิจารณาดีๆ จะพบว่า ส่วนใหญ่จะเกทับกัน ใครให้อะไรมากกว่า ซึ่งก็เป็นที่ชื่นชอบของประชาชน แต่ในความเป็นจริงต้องยอมรับว่าเงินที่รัฐบาลสัญญาว่าจะให้นั้น ไม่สามารถเสกขึ้นมาได้ ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องมาจากภาษีของประชาชน รวมถึงการใช้ทรัพย์สมบัติสาธารณะต่างๆ เช่น ค่าสัมปทาน ฉะนั้น เม็ดเงินดังกล่าวต้องใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างยั่งยืน ไม่ใช่ใช้อย่างอีลุ่ยฉุยแฉก
“นโยบายเศรษฐกิจขณะนี้ ไม่ว่าจะพรรคใหญ่ หรือพรรคขนาดกลาง ดูเว่อร์มาก ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานความจริง ส่วนใหญ่เน้นแต่นโยบายลด แลก แจก แถม เพื่อหาเสียงกับประชาชน แต่สิ่งที่ไม่เคยพูดถึงเลยคือ รัฐจะหาเงินจำนวนมหาศาล มาจากไหน อย่างไร ในเมื่อการลดภาษีก็เป็นอีกนโยบายหนึ่ง”
รศ.วิทยากร กล่าวถึงระบบเศรษฐกิจว่า รัฐบาลเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะเศรษฐกิจในระบบตลาด ระบบทุนนิยม ส่วนใหญ่จะต้องขึ้นอยู่กับภาคธุรกิจเอกชน ไม่ว่าจะผู้ประกอบการ เกษตรกร พ่อค้าแม่ขาย ฯ ขณะเดียวกันก็ขึ้นอยู่กับกลไกตลาด แต่พรรคการเมืองกลับจะไปเพิ่มค่าแรง ตรึงราคาน้ำมัน ลดดอกเบี้ย 0% หรือ 1% สำหรับบ้านหลังแรก รถยนต์คันแรก สิ่งเหล่านี้จึงเป็นการขายสินค้าแบบหลอกให้คนฝันหวาน เพราะแม้กระทั่งรัฐบาลคอมมิวนิสต์ ยังไม่เคยประกาศเลยว่า จะต้องให้ราคาน้ำมันอยู่ที่ลิตรละ 30 หรือ 35 บาท เนื่องจากเข้าใจว่า เป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ ขึ้นอยู่กับกลไกตลาดโลก
“นอกจากนี้ พรรคการเมืองยังมีนโยบายที่ฟังดูดีอีกมาก อย่างเช่น ลดภาษีน้ำมันดีเซล ช่วยอุดหนุนราคาแก๊ส แต่นโยบายดังกล่าว ก็ใช้เงินภาษีของประชาชนทั้งประเทศมาอุดหนุน โดยไม่ได้คำนึงถึงความเป็นจริงเลยว่า ไม่ใช่แค่เรือประมง หรือรถบรรทุกผลผลิตทางการเกษตรที่ใช้น้ำมันดีเซล แต่ยังมีรถยนต์ส่วนบุคคลจำนวนมากที่ใช้น้ำมันดังกล่าว การไปอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลทั้งหมด จึงไม่ได้เรื่อง”
ส่วนนโยบายด้านเศรษฐกิจที่อาจเป็นจริงได้นั้น รศ.วิทยากร กล่าวว่า ที่ชัดๆ ก็อย่างเช่น เบี้ยคนชราฯ ที่สามารถทำได้ ส่วนที่เหลือก็ใช้แต่วิธีฉาบฉวย เน้นให้ประชาชนบริโภคมากๆ โดยไม่สนใจที่จะพัฒนาการผลิตให้มีประสิทธิภาพ และถึงแม้ว่า คนไทยส่วนใหญ่จะมีฐานะยากจน อีกทั้งต้องการเงินทอง เงินกู้ในการใช้จ่าย แต่นโยบายดังกล่าว ก็ถือว่าเป็นเรื่องอันตราย อย่างมาก เพราะสุดท้ายประชาชนจะเป็นหนี้มากขึ้น กระทั่งกลายเป็นปัญหาต่อเศรษฐกิจในภาพรวม
คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม กล่าวถึงสถานภาพทางเศรษฐกิจของประเทศไทยว่า ไทยเป็นประเทศที่พึ่งพาเศรษฐกิจต่างประเทศมาก กระทั่งอาจเรียกได้ว่า เป็นทุนนิยมที่เป็นบริวารต่างประเทศ ทั้งในด้านการส่งออก หรือนำเข้าวัตถุดิบ ซึ่งหากประเทศไทยยังพึ่งต่างประเทศมากๆ ก็ไม่รู้ว่าฟองสบู่จะแตกเมื่อไหร่ โดยเฉพาะในภาวะที่เศรษฐกิจโลกยังไม่ได้ฟื้นตัวและมีปัญหาอยู่มาก
“ประเทศไทยมีประชากร 65 ล้านคน มากเป็นอันดับที่ 21 ของโลก แต่เรากลับไม่เคยสนใจที่จะพัฒนาคน พัฒนาตลาดภายในประเทศให้ขยายใหญ่ขึ้น ประเทศไทยจึงมีปัญหา มีเงินหมุนเวียนภายในประเทศจำกัด และถึงแม้ว่า ไทยจะโชคดีเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่สามารถผลิตอาหารส่งออกได้ แต่กลับพบว่า มีต้นทุนการผลิตสูง ประสิทธิภาพต่ำ ขณะเดียวกันผู้ที่ได้ประโยชน์จากการส่งออกอาหาร ก็มีแต่เกษตรรายใหญ่ บริษัทขนาดใหญ่เท่านั้น ส่วนเกษตรกรรายย่อยไม่ได้ประโยชน์อะไร เนื่องจากระบบสหกรณ์ในบ้านเราไม่เข้มแข็ง ไม่สามารถรักษาผลประโยชน์ของเกษตรได้” รศ.วิทยากร กล่าว และว่า สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า กลไกของประเทศขาดประสิทธิภาพหลายอย่าง ฉะนั้น จะต้องมีการปฏิรูป เพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนให้ต่ำลง รวมทั้งจะต้องมีการสร้างระบบสหกรณ์ และส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน
รศ.วิทยากร กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้จะต้องมีการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ เช่น การปฏิรูปที่ดิน ปฏิรูปการเกษตร อุตสาหกรรม และธุรกิจขนาดย่อม ปฏิรูปการเงินการธนาคาร ระบบพลังงาน การขนส่ง การปฏิรูปการกระจายทรัพยากรธรรมชาติ และฝึกอบรบแรงงานให้มีคุณภาพ รวมทั้งปฏิรูประบบภาษีอาการและการคลัง เช่น เก็บภาษีสินค้าฟุ่มเฟือย คนรวยต้องเสียภาษีมาก เนื่องจากการศึกษาพบว่า ปัจจุบัน คนจนเสียภาษีทั้งทางตรงและทางออม คิดเป็นสัดส่วนต่อรายได้สูงกว่าคนรวย หรือคิดเป็นประมาณ 20-30 เปอร์เซ็นต์ของรายได้
“สิ่งเหล่านี้ต้องปฏิรูปอย่างจริงจัง ไม่ใช่เพียงแค่เป็นเรื่องความเป็นธรรมเท่านั้น แต่เมื่อคน 65 ล้านคน มีงานทำ มีรายได้ ก็จะมีกำลังจับจ่ายใช้สอย เศรษฐกิจภายในประเทศก็จะโตขึ้น ดีขึ้น โดยไม่ต้องไปสวดมนต์ ภาวนา”