ดร.จิรายุ เชื่อเด็กรุ่นใหม่จะทำให้ประเทศปฏิรูปไปทางที่ก้าวหน้า
นายกสภานิด้า ยันการปฏิรูปประเทศไทยในทิศทางที่ทำให้ชาติเจริญก้าวหน้ายั่งยืน ก็เหมือนปฏิรูปการศึกษา ที่ต้องอาศัยความเพียร เริ่มจากเล็กไปหาใหญ่ และอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย และการเห็นประโยชน์ส่วนร่วม
วันที่ 10 มิถุนายน ศูนย์ศึกษาเศรษฐกิจพอเพียง สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ร่วมกับสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จัดการประชุมวิชาการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา เรื่อง ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงกับการปฏิรูปประเทศไทย ณ ห้องประชุมจีระ บุญมาก ชั้น3 อาคารสยามบรมราชกุมารี สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา นายกสภาสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ กล่าวถึงผลการศึกษาของสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ที่ผ่านมา พบว่าสิ่งที่เป็นปัญหาสำคัญของการพัฒนาประเทศไทยคือเรื่องของการล่มสลายของระบบสังคม มีการลดลงของการแบ่งปันการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ในสังคม ซึ่งปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาสำคัญ และมีแนวโน้มเสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ คนจึงต้องคิดวางรากฐานใหม่ไปสู่ระบบโรงเรียน ปลูกฝังปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเข้าไปในระบบการศึกษา
“ปัจจุบันหลักสูตรได้เผยแพร่ออกไปช่วยครูที่อยู่ตามที่ต่างๆแล้ว หลักสูตรดังกล่าวเป็นสิ่งที่เหมาะสมกับชั้นเรียน ทำอย่างไรให้เกิดผลมากที่สุดในขณะที่มีหลักสูตรนี้ ทำอย่างไรถึงจะแทรกปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเข้าไปในแต่ละวิชา เช่น วิชาคณิตศาสตร์ ภาษาไทย ดนตรี ไม่ใช้ใส่ลงไปแบบเป็นยาเม็ดเดียว ทั้งนี้ ต้องประยุกต์ให้เหนียวแน่นและเกิดความเคยชิน ฉะนั้นถ้าเรียนแต่ในห้อง หรือสอนทฤษฎีอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ แต่ต้องมีการปฏิบัติด้วย เพื่อให้เห็นว่าหลักเศรษฐกิจพอเพียงเป็นเรื่องที่ทำได้ง่าย เอาไปปฏิบัติได้ทุกที่ทุกสังคม”
ดร.จิรายุ กล่าวถึงการสร้างศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงในโรงเรียน ช่วง 4 ปี ทำไปแล้ว 9 แห่ง ซึ่งภายในสิ้นปีนี้ จะมี84 แห่ง เมื่อถึงปีที่ 9 คาดว่าจะครบ 4 หมื่นแห่ง ซึ่งขณะที่มีโรงเรียนที่จะอาสาว่าจะสร้างหลักสูตรแล้ว 9,999 แห่ง นี่คือสิ่งที่พวกเรานักวิชาการจะต้องรับรู้ จะเผยแพร่ ถ้าเรามาเริ่มต้นร่วมกันทำงานจากเล็กๆ แต่รากฐานมั่นคง คิดว่า น่าจะประสบความสำเร็จได้
“การเรียนรู้ในระดับขั้นพื้นฐานฯ มุ่งที่จะต้องสร้างอุปนิสัยพอเพียง ไม่ใช่แค่เพียงแต่ประหยัดอย่างเดียว ซึ่งหากทำเรื่องนี้สำเร็จ เด็กรุ่นใหม่จะทำให้ประเทศปฏิรูปไปทางที่ก้าวหน้า เป็นการเติบโตที่สมบูรณ์ การปฏิรูปประเทศไทยในทิศทางที่ทำให้ชาติเจริญก้าวหน้ายั่งยืน ก็เป็นเหมือนการปฏิรูปการศึกษา ที่ต้องอาศัยความเพียร เริ่มจากเล็กไปหาใหญ่ มีเป้าหมายครอบคลุมทั้งหมด อาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย และการเห็นประโยชน์ส่วนร่วม”
ด้าน รศ.ดร.จุรี วิจิตรวาทการ ประธานศูนย์สาธารณประโยชน์และประชาสังคม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ กล่าวว่า เศรษฐกิจพอเพียงเป็นโจทย์ที่ท้าทายในทศวรรษที่ผ่านมา กระบวนการการแก้ไขปัญหาต่างๆ ในยุคหลังของสังคมเปลี่ยนไปมาก พลวัตรเปลี่ยนไป รัฐไม่ใช่พระเอกตลอดไป ภาคธุรกิจเอกชนเริ่มแข็งแรง ในบางประเทศเอกชนเป็นตัวนำมานานแล้ว การที่รัฐจะกำหนดนโยบาย การจัดสรรปันส่วน รัฐเองจะคิดเองทำเองก็ไม่เหมาะสม เพราะการดำเนินโครงการต่างๆ เริ่มมีตัวแสดงตัวอื่นที่มีบทบาทมากขึ้น เช่น องค์กรภาคประชาสังคม องค์การสาธารณะ มีการเรียกร้องความเป็นธรรม เห็นได้ว่า แนวทางการพัฒนาเริ่มเปลี่ยนไป มีการแบ่งสันปันส่วนเกิดขึ้น
“ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐอเมริกา เริ่มแนวทาง open governance หรือการเปิดให้มีส่วนร่วมทางการเมือง คือเปิดให้ประชาชน องค์การสาธารณะมาร่วมกันตรวจสอบดูแล หรืออย่างประเทศบราซิลกำลังมีบทบาทสำคัญในเวทีโลกในฐานะประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายได้ แต่ว่าในไทย เราก้าวไปถึงจุดเหล่านี้หรือไม่ เราตกกระแสพอสมควร บางคนยังเรียกคำว่า ประชาคม ปะปนกับคำว่า ประชาสังคม คนที่ทำงานภาคประชาสังคมเป็นการอาสาด้วยใจ ซึ่งต่างจากประชาคมอย่างสิ้นเชิง”
รศ.จุรี กล่าวด้วยว่า ประชาชนตกกระแสรวมทั้งไม่เข้าใจ ตกประเด็นด้วย เพราะรัฐมีอำนาจมาก และไม่ค่อยอยากแบ่งบทบาทกับกลุ่มอื่นในสังคม แนวทางที่ผ่านมาจึงไม่ค่อยได้คำนึงถึงหลักเศรษฐกิจพอเพียง และบ่อยครั้งไม่ได้คำนึงถึงเศรษฐกิจโดยรวม ไม่มีความพอประมาณ กำหนดนโยบายโดยไม่ได้คำนึงเหตุผล หรือภูมิคุ้มกัน เช่น การโฆษณาชวนเชื่อของแต่ละพรรคที่บอกว่ามีแต่ให้ แต่เวลาเอามาไม่รู้ว่ามาจากไหน ความเป็นไปได้ ความคุ้มค่า เหล่านี่จึงเป็นสิ่งท้าทาย