เปิดคัมภีร์ธุรกิจ "แว่นตา" ท็อปเจริญ ทำอย่างไร โกยรายได้พันล้าน?
“ผมจะพูดให้ฟังนะ ว่าพ่อผม เคยบอกว่า ไอ้เพ้ง (นายนพศักดิ์ ตรีพรชัยศักดิ์) เอ็งไม่ต้องไปทำอาชีพอื่นหรอกมาขายแว่น ไม่ต้องทำอะไรมาก เปลี่ยนแค่เลนส์คู่หนึ่งก็อยู่ได้แล้ว”
“เราทำธุรกิจแว่นตา มาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่แล้ว พ่อผมทำแว่นตามาประมาณ 60 ปีแล้ว ตั้งแต่รุ่นแรกเลย ที่จังหวัดสระบุรี แต่ก่อนจะทำเป็นหน่วยรถขายแว่นตา คล้ายรถเร่ ตระเวนขายไปตามที่ต่างๆ มีเป็นสิบหน่วย ใช้ชื่อว่า “เจริญการแว่น” แต่พอผมเข้ามารับช่วงธุรกิจต่อ เห็นว่า ชื่อเจริญการแว่นไม่ได้มีการจดลิขสิทธิ์อะไร ใครๆ ก็เอาชื่อเราไปใช้ได้ ร้านโน่นร้านนี่เอาไปใช้ ผมก็เลยมานั่งคิดและเปลี่ยนชื่อร้านใหม่ เพื่อจะได้ไปยื่นขอจดลิขสิทธิ์ เป็นแว่นท็อปเจริญ และใช้ชื่อนี้มาตลอด”
นายนพศักดิ์ ตรีพรชัยศักดิ์ กรรมการและผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัท ร่วมเจริญพัฒนา จำกัด เจ้าของร้านแว่นท็อปเจริญ จำกัด เอ่ยปากอธิบายถึงที่มาที่ไปของธุรกิจร้านแว่นท็อปเจริญ กับสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org อย่างตรงไปตรงมา
และเป็นการตอบคำถามที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจของบริษัทอย่างเป็นทางการครั้งแรก ภายหลังจากที่ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบข้อมูลความสัมพันธ์ระหว่างร้านแว่นตาท็อปเจริญ และร้านแว่นบิวตี้ฟูล พบว่า แท้จริงแล้วมีเจ้าของคนเดียวกัน คือ นายนพศักดิ์ ตรีพรชัยศักดิ์ และคนในตระกูล “ ตรีพรชัยศักดิ์” และธุรกิจนี้ สร้างรายได้จำนวนหลายพันล้านบาท จนน่าตกใจ
และพยายามติดต่อขอสัมภาษณ์ “นายนพศักดิ์ ตรีพรชัยศักดิ์” เพื่อให้ยืนยันข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทำธุรกิจของร้านแว่นตาทั้งสองแห่ง
จนกระทั่งสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ได้รับการติดต่อกลับมาจากทาง บริษัท ร่วมเจริญพัฒนา จำกัด ว่าผู้บริหารยินดีที่จะตอบคำถามของสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รวมถึงข้อสงสัยจากสังคม ที่มีต่อการทำธุรกิจของบริษัท
“ตั้งแต่ทำธุรกิจมาผมไม่เคยให้สัมภาษณ์ออกสื่อเลย เพราะตอนที่ผมยังเด็ก ผู้ใหญ่ในครอบครัวผมเตือนว่า ให้อยู่เงียบๆ อย่าทำตัวเด่นดังอะไร ให้อยู่แบบเงียบๆ แต่วันนี้ผมรู้แล้วว่า โลกวันนี้มันเปลี่ยนแล้ว ผมควรจะต้องออกมาพูดมาชี้แจงอะไรบ้าง เพื่อให้สังคมได้รับทราบความจริง”
นายนพศักดิ์ กล่าวยืนยันกับสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ถึงจุดประสงค์ในการให้สัมภาษณ์พิเศษครั้งนี้
ก่อนจะย้อนไปขยายความ ถึงเกี่ยวกับที่มาที่ไปธุรกิจแว่นตาท็อปเจริญอีกครั้ง
“ ในช่วงที่ผมเข้ามาจับธุรกิจแว่นตาต่อจากคุณพ่อ เราใช้วิธีทำธุรกิจแบบป่าล้อมเมือง เราจะอยู่ในต่างจังหวัดเป็นหลัก ช่วงนั้นร้านท็อปเจริญมาสาขาประมาณ 400-500 แห่งแล้ว ก่อนที่จะเริ่มเข้ามาในพื้นที่กรุงเทพฯ และขยายสาขาเพิ่มเติมอีก จนปัจจุบันมีจำนวนมากกว่า 1,700 แห่ง ทั่วประเทศ”
ส่วนที่มาของคำว่า ท็อปเจริญ นั้น นายนพศักดิ์ ตอบว่า “พ่อผมชื่อเจริญ ผมเลยเอาชื่อนี้มาใช้ และเมื่อนำมาใช้แล้ว เราก็ต้องการทำให้ดีที่สุด ก็เลยนำคำว่า ท็อป มาใช้ สุดท้ายจึงออกมาได้ชื่อว่า “ท็อปเจริญ”
ส่วนข้อเท็จจริง เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง ร้านแว่นตาท็อปเจริญ กับ ร้านแว่นตาบิวตี้ฟูล นั้น นายนพศักดิ์ ยืนยันว่า ร้านแว่นตาทั้งสองแห่ง เป็นธุรกิจในเครือเดียวกัน
“หลังจากเปิดท็อปเจริญแล้ว ผมก็มาเปิดบิวตี้ฟูลต่อ เพราะว่า เราไปเรียนกลยุทธ์การตลาดมา เขาบอกว่าทุกอย่างต้องมีคู่ ทุกอย่างต้องมีที่หนึ่งที่สอง เมื่อเป็นแบบนี้ เราก็เลยคิดว่า เราก็เอาของเราเองเลยซิ เราก็เลยไปจดทะเบียนขึ้นมาอีกบริษัท เพื่อให้มาแข่งขันกันเอง ถ้าเราอยากจะครองตลาดเราจะต้องปั่น สินค้าอีกแบรนด์ขึ้นมา ถ้าเราไม่ปั่นอีกแบรนด์ คนอื่นก็ต้องทำ อยู่ดี”
อย่างไรก็ตาม นายนพศักดิ์ ยืนยันว่า ในช่วงต้นปี 2556 ที่ผ่านมา เราเริ่มมีการเปิดตัวต่อสังคม ว่า ท็อปเจริญ และบิวตี้ฟูล เป็นพันธมิตรทางการค้ากัน เพราะว่า ท็อปเจริญ เปิดสาขาเยอะแล้ว พันกว่าแห่ง แต่บิวตี้ฟูล มีสาขาน้อยกว่า เราต้องการให้บิวตี้ฟูล สามารถให้บริการหลังการขายได้ เพราะธุรกิจแว่นตา การบริการหลังการขาย เป็นเรื่องที่สำคัญมาก
“ กลยุทธ์ใหม่ที่เราออกมาใช้ คือ บอกไปเลยว่า บิวตี้ฟูล เป็นพันธมิตร กับท็อปเจริญ โดยใส่ คำว่า บาย ท็อปเจิรญ เข้าไปด้านหลังชื่อคำว่า บิวตี้ฟูล ซึ่งจากนี้ไปลูกค้าที่ซื้อแว่นจากบิวตี้ ฟูล ก็สามารถที่จะนำแว่นเข้าไปเข้ารับบริการหลังการขายได้ที่ท็อปเจริญ ซึ่งมีสาขามากกว่า กระจายอยู่ทั่วประเทศจะมีบัตรสมาชิกให้และใช้บริการได้ฟรี”
นายนพศักดิ์ ยังเปิดเผยด้วยว่า ในอนาคตอันใกล้ นี้ ตนมีแผนที่ควบรวมท็อปเจริญ และบิวตี้ฟูล เป็นบริษัทเดียวกัน เพราะมีเป้าหมายที่จะนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ เหมือนธุรกิจอื่น และเป็นการเตรียมความพร้อมทางธุรกิจสำหรับการเปิดเออีซีด้วย
เมื่อถามว่า ในช่วงที่เปิดร้านแว่นบิวตี้ฟูล ใหม่ๆ มีการแข่งขันกับท็อปเจริญจริงหรือเปล่า ?
นายนพศักดิ์ ตอบว่า “เราแข่งขันกันจริงๆ ต้องการให้มันแข่งขันกันจริงๆ เพราะเราเชื่อว่า ถ้าลูกค้าต้องการจะตัดแว่น หากเขาไม่ชอบท็อปเจริญ ก็จะมาตัดที่บิวตี้ฟูล ลูกค้าที่ไม่ชอบบิวตี้ฟูล ก็จะเข้าไปตัดแว่นที่ร้านท็อปเจริญ และมันก็เป็นอย่างนั้นจริง พนักงานยังเคยมาเล่าให้ฟังเลยว่า ลูกค้าบางรายเข้ามาตัดแว่นที่บิวตี้ฟูล ยังมานินทา ร้านท็อปเจริญให้ฟังเลย”
นายนพศักดิ์ ยังขยายความต่อว่า อีกอย่างหนึ่ง ตรงไหนที่มาทำเลดี เราก็จะไปปิดทั้งสองร้าน พร้อมกัน เพื่อให้แข่งกัน เพราะถ้าเราไม่ทำคนอื่นก็ต้องมาเปิดแข่งอยู่ดี ขณะที่รูปแบบการทำธุรกิจในส่วนของบิวตี้ฟูล จะเน้นกลุ่มลูกค้าวัยรุ่น ส่วนท็อปเจริญ จะเน้นลูกค้าทั่วไป
นายนพศักดิ์ ยังกล่าวด้วยว่า เรื่องการทำธุรกิจ ในยุคเมื่อ 30 ปีก่อน ผมคิดไม่ค่อยเหมือนคนอื่น บางคนทำธุรกิจแว่นอยู่ มีลูกสองคน ก็เปิดแค่สองร้านให้ลูกไปดูแลคนละร้าน แต่ผมไม่คิดแบบนั้น ผมเลือกที่จะเปิดสาขาไปเรื่อย เพราะถ้าเรายิ่งเปิดสาขามากเท่าไร เราก็จะครองตลาดได้มากเท่านั้น
“แต่การที่เรามีสาขามาก เราก็ต้องควบคุมเรื่องการบริการและคุณภาพให้ดี ซึ่งของเราให้ความสำคัญเรื่องนี้มาก เรามีการจัดฝึกอบรมพนักงานอย่างเข้มขน จะทำงานได้ต้องผ่านการอบรมก่อน และก็จะมีเจ้าหน้าที่คอยออกไปตรวจสอบอยู่ตลอด”
“ ตอนที่ผมจะเปิดร้านท็อปเจริญใหม่ ๆ ผมเคยถูกร้านแว่นอื่น ดูถูกว่า ไม่รอดแน่ เพราะไม่ได้ลงไปคุมเอง แต่ผมไม่คิดแบบนั้น และวันนี้ ผมก็พิสูจน์ให้เขาเห็นแล้วว่ามันเป็นอย่างไง”
นายนพศักดิ์ ยังกล่าวด้วยว่า แว่นตาเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ การขายต้องมีเทคนิค ด้วย
“หัวใจสำคัญที่ทำให้ธุรกิจเราไปได้ดี คือ เราสามารถออกแบบสินค้าได้เอง เพราะเรามีการติดต่องานกับโรงงานในต่างประเทศ โดยตรง เมื่อสาขาเราเยอะ สินค้าที่เราสั่งในแต่ละครั้งก็มีจำนวนมาก ต้นทุนเราก็จะถูกกว่าร้านแว่นทั่วไป ที่เขาสั่งได้ไม่กี่อัน ขณะที่การขยายสาขาของผม จะไม่ใช่วิธีการซื้อหรือเซ้งตึก แต่จะใช้วิธีการเช่า เพราะประหยัดต้นทุนได้มากกว่า ซึ่งจะบอกให้นะ วิธีการขยายสินค้าของร้าน 7-11 ผมคิดและทำมาก่อน ซีพี จะออกมาใช้เสียอีก ”
เมื่อถามว่า ในเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์ ว่า ร้านแว่นตา เงียบ ไม่มีลูกค้า ทำไมเปิดสาขาได้เยอะ และมีรายได้เยอะ นายนพศักดิ์ กล่าวว่า “ผมได้ยินเรื่องนี้มาเยอะ แต่อย่าจะบอกว่า ให้ไปดูร้านอื่นซิ ว่าเป็นเหมือนร้านผมหรือเปล่า ร้านอื่นก็เงียบเหมือนผม และที่สำคัญ เขามานั่งดูร้านผมทั้งวันตั้งแต่เปิดจนปิดหรือเปล่า แค่เดินผ่านมา 5 นาที แล้วบอกว่า ไม่มีลูกค้าขายไม่ได้เลยผมว่า แบบนี้ มันไม่ถูกต้อง”
เมื่อถามย้ำว่า แล้วท็อปเจริญ ขายสินค้าเป็นอย่างไร นายนพศักดิ์ ตอบว่า “สำหรับร้านผม วันหนึ่งขายได้แค่ 1 หรือ 2 อันผมก็อยู่ได้แล้ว”
“ผมจะพูดให้ฟังนะ ว่าพ่อผม เคยบอกว่า ไอ้เพ้ง (ชื่อเล่นนายนพศักดิ์)เอ็งไม่ต้องไปทำอาชีพอื่นหรอกมาขายแว่น ไม่ต้องทำอะไรมาก เปลี่ยนแค่เลนส์คู่หนึ่งก็อยู่ได้แล้ว”
เมื่อถามว่า ยิ่งสาขาเยอะยิ่งกำไรมาก นายนพศักดิ์ ตอบว่า “ ใช่ครับๆๆ ยิ่งสาขามันเยอะก็ยิ่งมีกำไรมาก หนึ่งเราซื้อของได้เยอะ ต้นทุนเราก็จะต่ำกว่าคู่แข่งไปเรื่อยๆ เพราะเราซื้อที่เป็นพันอัน เราก็สามารถออกแบบผลิต แม่พิมพ์เองได้ ต้นทุนยิ่ง ถูก ไม่มีซ้ำในตลาด แต่ถ้าเป็นร้านอื่นทำไม่ได้ เพราะถ้าจะสั่งแม่พิมพ์ อันหนึ่ง ต้องสั่งอย่างน้อยสองพันอัน แต่เราทำได้ เพราะสาขาเราเยอะ”
นายนพศักดิ์ กล่าวว่า สินค้าเรายังขายดีอยู่ ยิ่งร้านตามห้างในชุมชนต่างๆ จะขายดี และเราก็พยายามหาโปรโมชั่นใหม่มาเสริมอยู่ตลอด สาขาที่ดีที่สุด ก็มีรายได้ตกเดือนละล้านบาท
เมื่อถามว่า มองอย่างไร ที่ถูกกล่าวหาว่า ฟอกเงิน?
นายนพศักดิ์ ตอบว่า ก็อย่างที่ผมบอกไปว่า เขาเดินผ่านหน้าร้านแล้วเห็นว่า ทำไมไม่มีคนเลย อยู่ได้อย่างไง ก็เลยไปคิดกันแบบนั้น ซึ่งผมได้ยินเรื่องนี้มา 20 ปีแล้ว และผมจะบอกให้ คนที่เอาเรื่องนี้ มาพูดกัน ก็พวกร้านแว่นที่ผมไปแชร์ตลาด เขานั้นแหละ เขาก็เอาไปพูดกัน คนก็เลยไปคิดตามว่าเป็นแบบนั้น แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย
เมื่อถามว่า คอนเน็คชั่นทางการเมืองหรือไม่?
นายนพศักดิ์ ตอบว่า ไม่มี ผมไม่รู้จักนักการเมืองที่ไหน ไม่เส้นสายอะไร เพราะผมไม่ชอบ และที่สำคัญธุรกิจของผมก็ไม่ใช่ธุรกิจสัมปทาน แค่ร้านแว่นตา
นายนพศักดิ์ ยังย้ำว่า ตลาดแว่นตา ยังขยายออกไปได้อีกเยอะ ซึ่งนอกจากในประเทศไทย แล้ว ตนยังเตรียมที่จะขยายธุรกิจไปยังประเทศเพื่อนบ้านด้วย
เมื่อถามว่า ส่วนแบ่งทางการตลาดของ ท็อปเจริญ ปัจจุบันเป็นอย่างไร นายนพศักดิ์ กล่าวว่า “จากตัวเลขที่ออกมายอดขายประมาณ 5,000 กว่าล้านบาท ร้านผมมีรายได้ 4,000 กว่าล้านแล้ว คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 70-80% และผมกล้ายืนยันได้เลยว่า คนไทยที่ใสแว่น จำนวน 10 คน เป็นลูกค้าของผมจำนวน 7 คน เข้าไปแล้ว”
---------
เปิดหลักฐานมัด“ท็อปเจริญ&บิวตี้ฟูล”เครือเดียวกัน ก่อนโกยรายได้พันล้าน!!
เปิดไส้ในธุรกิจ“ท็อปเจริญ&บิวตี้ฟูล”แม่เจ้า!!โกยรายได้ปีล่าสุดเฉียด 4 พันล.
บุก พิสูจน์ "ท็อปเจริญ &บิวตี้ฟูล"ขายแว่นมีรายได้หลายพันล้านจริงหรือ?
