นักเศรษฐศาสตร์ มธ. ให้คะแนนนโยบายเศรษฐกิจ ปชป-พท.เสมอ
“อภิชาต สถิตนิรามัย” เชื่อ นโยบายส่วนใหญ่ทำไม่ได้จริง ด้าน “ปัทมาวดี” ฝันอยากเห็นนโยบายพรรคการเมืองพูดถึงความเหลื่อมล้ำ-แก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง
วันที่ 9 มิถุนายน กลุ่มจับตานโยบายรัฐบาล (Policy watch) คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดเวทีถามตอบ หัวข้อ “นักเศรษฐศาสตร์พบนักการเมือง” ณ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองนำเสนอนโยบายเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยมีนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ พรรคประชาธิปัตย์ และรศ.ดร.สุชาติ ธาดาดำรงเวช พรรคเพื่อไทย นำเสนอนโยบาย
นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวว่า นโยบายเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ใช่นโยบายหาเสียง แต่เป็นนโยบายที่จะออกมาเพื่อแก้ปัญหาปัญหาเศรษฐกิจในอีกสี่ปีข้างหน้า โดยมองปัญหาที่ไม่ใช่เรื่องการปรองดอง นิรโทษกรรม แต่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในโลก
“การเพิ่มรายได้ทำให้ประชาชนเข้มแข็ง แต่การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ จะไม่ขึ้นในทันที แต่ต้องดูแลเรื่องราคาสินค้า กลไกการตลาดที่ไม่ฟังก์ชั่นควบคู่ไปด้วย เพราะไม่เช่นนั้นต่อให้เพิ่มค่าแรง ราคาสินค้าก็จะดีดตัวตามขึ้นไปอีก ขณะเดียวกันการขึ้นค่าแรง จะต้องมีการพิจารณาเป็นรายพื้นที่อีกด้วย นอกจากนี้ในส่วยของพรรคประชาธิปัตย์ยังมีนโยบายลดต้นทุนผู้ประกอบการ เพิ่มรายได้เกษตรกร ไฟฟ้าฟรี อุปกรณ์การเรียนฟรี ค่ารักษาพยาบาลฟรี ฯลฯ”
นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวต่อว่า การทำให้เศรษฐกิจไทยเข้มแข็ง จะต้องรีบทำ โดยหลักคิดของประชาธิปัตย์ในเรื่องของเศรษฐกิจ จะไม่เข้าไปแตะหรือยุ่งเกี่ยวกับด้านการเงิน อัตราแลกเปลี่ยนจะมีทิศทางอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับแบงค์ชาติ แต่ประชาธิปัตย์จะเข้าไปดูแลเฉพาะด้านการคลัง โดยการใช้เงินงบประมาณจะคำนึงถึงลำดับความสำคัญ เก่งเรื่องใดก็ทำเรื่องนั้น ใช้เงินที่มีอยู่น้อยนิดให้เกิดประโยชน์ ดังนั้น เมกะโปรเจกค์ของประชาธิปัตย์จึงเน้นเสริมสร้างธุรกิจ (Core businesses) นั่นคือด้านเกษตร ท่องเที่ยว อุตสาหกรรม ซึ่งเป็นการลงทุนเพื่อครัวโลก เสน่ห์เอเชีย และประตูสู่อาเซียน
ทั้งนี้ นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวด้วยว่า นโยบายดังกล่าวสามารถทำได้จริง ทำได้ทันที ทำได้วันแรกที่เป็นรัฐบาล ทุกอย่างที่กล่าว ภายใน 30 วัน เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เตรียม พ.ร.บ.งบประมาณ สามารถเดินหน้าได้ทันทีโดยไม่ต้องมีการแก้ไขอะไร
ขณะที่ รศ.ดร.สุชาติ กล่าวว่า นโยบายของพรรคเพื่อไทยใช้ปรัชญาของขงจื้อที่ว่า ประชาชนต้องร่ำรวย ลูกหลานได้เรียนหนังสือ รักษาขนบธรรมเนียมประเพณี ดังนั้น ทางพรรคจึงเห็นว่า จะต้องมีการโอนงบประมาณจำนวนมากๆ ไปสู่คนจนโดยที่ไม่มีการคอร์รัปชั่น ไม่ให้มีใครในรัฐบาลโกงประชาชน โดยเป็นไปตามกรอบคิดที่ว่า ดูแลพี่น้องประชาชนเหมือนคนในครอบครัว หรือเหมือนพ่อกับลูก ไม่ใช่นายกับบ่าว
“จากกรอบคิดดังกล่าว เมื่อชัดเจนว่าไม่มีพ่อแม่คนไหนคิดจะโกงลูก ทำร้ายลูก จึงถูกแปลเป็นนโยบายส่งเสริมให้ประชาชนร่ำรวย โดยเริ่มจากการแบ่งสินทรัพย์ให้ลูกทุกคนเท่ากัน เพื่อให้โอกาสแก่ทุกคน โดยไม่สนใจว่าจะมีการโกงหรือไม่ เพราะหากมี ก็ถือว่าได้ให้โอกาสไปแล้ว ดังนั้น หมู่บ้านจำนวน 80,000 แห่งจะต้องได้รับเงินกองทุนหมู่บ้านละ 1,000,000 บาท เพื่อใช้ในการพัฒนาหมู่บ้านและชุมชนเท่ากันหมด” รศ.ดร.สุชาติ กล่าว และว่า นอกจากนี้ พรรคเพื่อไทยยังมีนโยบายพักชำระหนี้ครัวเรือน ยกระดับราคาข้าวเป็นถังละ 15,000 บาท เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท มีนโยบายบ้านหลังแรก รถคันแรก รวมทั้งนโยบายเครดิตการ์ด ต่อไปเกษตรกรจะได้ไม่ต้องไปกราบไหว้นายทุนตกเขี้ยว
ด้าน ผศ.ดร.อภิชาต สถิตนิรามัย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงการบริหารจัดการนโยบายเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์ว่า มีลักษณะเหมือนกับ ‘แม่บ้าน’ ซึ่งมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากกว่าพรรคที่เน้นการให้โอกาส แต่ในแง่เศรษฐกิจ อาจไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากนัก ส่วนนโยบายของพรรคเพื่อไทย อาจเป็นไปไม่ได้ หรือมีความไร้เสถียรภาพเกิดขึ้น แต่ข้อดีคือ อัตราเติบโตทางเศรษฐกิจจะที่ดีกว่า ดังนั้นในมิตินี้ ทั้งสองพรรคจึงมีคะแนนเท่ากันทั้งคู่
ส่วนนโยบายที่สามารถทำได้จริงนั้น นายอภิชาต กล่าวว่า นโยบายของทั้งสอง พบว่า ส่วนใหญ่เป็นนโยบายที่ทำไม่ได้มากกว่าทำได้ โดยนโยบายที่สามารถทำได้นั้น จะมีลักษณะเป็นนโยบายแจก ทั้งแจกในแง่สวัสดิการ การลงทุน แต่จากการคำนวณ พบว่า หากอัตราการเจริญเติบโตต่ำกว่า 45 เปอร์เซ็นต์ หนี้สินสาธารณต่อ GDP จะไปสูงสุดกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ในอีกหลายปีข้างหน้า ซึ่งแน่นอนว่านโยบายของทั้งสองพรรคย่อมไปกระทบตัวเลขดังกล่าว
“ขณะเดียวกัน ทั้งสองพรรคก็ไม่ได้ตอบในแง่ของกรอบความยั่งยืนทางการคลัง เช่น จะจำกัดตัวเองให้มีหนี้สินสาธารณต่อ GDP สูงสุดกี่เปอร์เซ็นต์ ภายในกี่ปี สิ่งเหล่านี้ ไม่ได้มีพรรคการเมืองใดให้สัญญาไว้ ดังนั้น คำถามสำคัญที่มีต่อพรรคเพื่อไทยและประชาธิปัตย์คือ อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในรอบ 4 ปีที่เข้าสู่อำนาจจะเป็นเท่าไหร่ และหนี้สินสาธารณะในรอบ 4 ปีข้างหน้าจะสูงสุดเท่าไหร่ สิ่งเหล่านี้เป็นตัวชี้วัดที่ต้องติดตาม”
นายอภิชาต กล่าวถึงนโยบายสวัสดิการด้านการศึกษาว่า ชัดเจนว่าทุนการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยที่ผ่านมา คนจนเข้าถึงน้อยมาก ขณะที่คนรวยมีโอกาสการเข้าถึง 99 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากเกณฑ์ที่ใช้กำหนดคุณสมบัติผู้มีสิทธิ์สมัครสูงเกินไป กระทั่งกลายเป็นว่าคน 3 ใน 4 ของประเทศสามารถสมัครได้หมด สิ่งเหล่านี้จึงต้องมีการแก้ไขให้คนจนมีสิทธิเข้าถึงก่อน เช่นเดียวกับในทุกนโยบาย ไม่ว่าจะลด แลก แจก แถมอย่างไรก็ตาม ควรเปิดโอกาสให้คนจนเข้าถึงก่อนเช่นกัน
ส่วนนโยบายเศรษฐกิจของพรรคการเมือง จะเป็นการขายฝันหรือไม่ อย่างไรนั้น รศ.ดร. ปัทมาวดี ซูซูกิ อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่อยู่ที่ว่านโยบายดังกล่าว หากเป็นการเพิ่มภาระทางการคลัง โดยไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ในการเพิ่มศักยภาพของมนุษย์ ก็นับเป็นสิ่งที่น่ากลัว ขณะเดียวกันมีข้อกังวลว่าพรรคที่ได้จัดตั้งรัฐบาล จะนำนโยบายเมื่อครั้งหาเสียงไปสู่การปฏิบัติจริงมากน้อยเพียงใด อีกทั้งในส่วนที่ได้มีการรับปาก และไม่สามารถทำได้ จะมีขั้นตอนในการแสดงความรับผิดชอบอย่างไร
รศ.ดร.ปัทมาวดี กล่าวถึงสิ่งที่อยากเห็นในนโยบายของพรรคการเมืองว่า ความเหลื่อมล้ำเป็นปัญหาที่มีการพูดถึงกันมาก แต่ยังไม่ไปถึงไหน ยังไม่เห็นทิศทางที่จะเข้าไปแก้ไขในเชิงโครงสร้างดังกล่าว หรือแนวทางที่มีลักษณะเป็นการปฏิรูปที่ยังยืน สิ่งเหล่านี้ จึงน่าจะมีการเพิ่มเติม
ส่วนนโยบายด้านการจำนำและการประกันสินค้าทางการเกษตรนั้น รศ.ดร.ปัทมาวดี กล่าวว่า แนวทางการจำนำราคา นับว่าเป็นวิธีการที่มีต้นทุนสูงเกินไป ส่วนการประกันราคา แม้จะมีต้นทุนที่ต่ำกว่าในการบริหารจัดการ แต่ต้องเผชิญกับสภาวะที่มีสินค้าจากแหล่งอื่นไหลเข้ามา ดังนั้น จะต้องคำนึงถึงผู้มีส่วนใดเสียทุกภาคส่วน
“นโยบายของทั้งสองพรรค นับว่ามีจุดดีจุดอ่อนในตัวเอง แต่สิ่งที่ไม่ค่อยวางใจคือ การคอร์รัปชั่น เพราะไม่ว่าจะเป็นวิธีการใด จะใหม่อย่างไรก็ตาม แต่เชื่อว่า ทำไปสักพักก็ต้องมีคนที่หาช่องทาง หาวิธีคอร์รัปชั่นได้เช่นกัน”