นักวิชาการ มอ. ชี้ขยายที่ปลูกยาง ต้องทำอย่างรอบคอบ
รศ.ดร.สมบูรณ์ เผยผลการศึกษาและข้อมูลสถานการณ์ยางพารา พบไทยขยายพื้นที่ปลูกยางเพิ่มขึ้น คาดจะกระทบปัญหาสิ่งแวดล้อมโดยรวม ทั้งอาจเจอปัญหาเศรษฐกิจในอนาคต ยันไม่มีใครคาดเดาได้ว่า จะมีผู้ซื้อต่อเนื่องในอนาคต
วันที่ 8 มิถุนายน แผนงานสนับสนุนความมั่นคงทางด้านอาหาร โดยการสนันสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเวทีนำเสนอ “ผลการศึกษากรณีการขยายพื้นที่เพาะปลูกยางพาราในประเทศไทย : ความห่วงใยและข้อเสนอแนะทางนโยบาย” โดย รศ.ดร.สมบูรณ์ เจริญจิระตระกูล คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ณ ห้องนนทรี 2 ชั้น4 เคยู โฮม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
รศ.ดร.สมบูรณ์ กล่าวถึงสถานการณ์และแนวโน้มของยางพาราโดยรวมว่า ยางสังเคราะห์จะมีปริมาณการผลิตมากกว่ายางธรรมชาติ แต่กลับมีอัตราการใช้ต่ำกว่าสัดส่วนการใช้ยางจากธรรมชาติ บางช่วงที่ราคายางพาราขึ้นมา 40-30 บาท ก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะมียางสังเคราะห์มาทดแทนยางธรรมชาติได้ การเปลี่ยนโครงสร้างการใช้งาน เช่น วงล้อรถยนต์ มีสูงขึ้น เป็นต้น
"สำหรับสถิติการใช้ยางธรรมชาติ ของประเทศสำคัญๆ ในปี2553 คือ สหรัฐอเมริกา 908 พันตัน จีน 3,634 พันตัน ซึ่งจีนมีการใช้แบบก้าวกระโดด โดยมีมูลค่ารวมมากกว่าอีก 7 ประเทศรวมกัน ถ้าอัตราการใช้ยางของจีนยังเป็นแบบนี้ ในอนาคตจีนจะมีการใช้ยาง 13,182 พันตัน แล้วจะมีที่ไหนผลิตยางให้จีนใช้"
รศ.ดร.สมบูรณ์ กล่าวอีกว่า ในกลุ่มประเทศผู้ปลูกยางเดิม เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย กลับพบว่า เน้นพื้นที่การปลูกปาล์มเพิ่มขึ้นแทนยางพารา แต่ในประเทศไทยกลับมีตัวเลขปลูกยางพาราเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ แม้ว่าบางปีจะได้ข้อมูลมาไม่ครบทุกปี แต่ล่าสุด พื้นที่ปลูกยางพาราของไทยนั้นเทียบเท่ากับพื้นที่ยางของอินเดีย โดยพื้นที่ของไทยมีการปลูกยางพาราในภาคเหนือสูงสุด คือ 36.44 ล้านไร่ ภาคอีสานซึ่งมีการขยายตัวรวดเร็ว คือ 19.37 ล้านไร่ ตามด้วยภาคกลาง ภาคใต้ ในพื้นที่ 7.66 และ 1.94 ล้านไร่ ตามลำดับ
“การผลิตยางของไทยมีอัตราที่สูงกว่าประเทศอื่นๆ ปริมาณการผลิตตั้งแต่ปี 2531-2553 มีปริมาณเฉลี่ย 5.25 พันตัน จากพื้นที่ปลูก 17.96 ล้านไร่ ปริมาณใกล้เคียงกับประเทศอินเดีย 5.36 พันตันในพื้นที่4.45ล้านไร่ แม้ว่าไทยจะมีอัตราการผลิตที่มากกว่าถึง 2 เท่า”
รศ.ดร. สมบูรณ์ กล่าวถึงราคายางตามฤดูกาลขึ้นลงตามฤดูกาลนั้น ถือว่า เป็นเรื่องปกติของกลไกราคา แต่ถ้ามีความผิดปกติ เช่น การเก็งกำไรของนักลงทุนในตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ราคายางแผ่นรมควันจาก 198 บาท ลดลงเหลือ 131 บาท ซึ่งราคาในตลาดหาดใหญ่จะต่ำกว่าตลาดสิงคโปร์กิโลกรัมละ 12-41 บาท
"สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เกษตรกรตกใจว่า ทำไมจากราคา170-190 บาท แต่กลับกลายมาเป็น 100 กว่าบาทในเวลาไม่ถึง 1 เดือน ยิ่งผู้แปรรูปน้ำยางสดมาแปรรูป ลดราคาเหลือ 120 บาท สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจจัยทางเศรษฐกิจ(non-economic factors) เช่น การประกาศสนับสนุนผลผลิตยางของรองนายกรัฐมนตรี ว่า ทำไมจึงมีบทบาทกับสถานการณ์ราคายางให้เพิ่มขึ้นมาได้จากการช่วงที่ตกต่ำ"
นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ มอ. กล่าวถึง 1.ยุทธศาสตร์การพัฒนายางพาราครบวงจร (2542-2546) 2.ยุทธศาสตร์การเป็นศูนย์กลางยางพาราโลกตามแผนปฏิบัติราชการ 4 ปี (2548-2551) กลุ่มสงขลา-สตูล 3.การปรับโครงสร้างยางและผลิตภัณฑ์ยาง 2549-2551 และ 4.ยุทธศาสตร์การพัฒนายาง พ.ศ. 2552-2556 สรุปได้ว่า แผนทั้ง 4 แผนไม่ปรากฎกลยุทธ์การพัฒนายางในระดับต้นน้ำ(พื้นที่สวน) และให้ความสำคัญระดับปลายน้ำเป็นหลัก (ผู้บริโภคผลิตภัณฑ์)
"ใน3แผนแรกให้ความสำคัญน้อยมากในระดับกลางน้ำ(งานปฎิบัติระดับสวนยาง)และไม่พบแนวทางการพัฒนาเกษตรกรสวนยาง คงมีเฉพาะแผนที่4ที่ให้ความสำคัญการพัฒนาระดับกลางน้ำและการยกระดับชีวิตเกษตรกร แต่ทุกแผนที่กล่าวมา งบประมาณที่ตั้งไว้ไปปฏิบัติไม่เคยเป็นจริง นอกจากนี้ในช่วงที่ราคายางเพิ่มขึ้นรัฐบาลไม่มีนโยบายยาง คิดได้เพียงการขยายพื้นที่ปลูกยางแห่งใหม่ ตรงข้ามเมื่อราคายางอยู่ในช่วงขาลง รัฐบาลกลับมีความคิดหรือนโยบายเป็นพิเศษ"
รศ.ดร.สมบูรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมารัฐบาลไม่ค่อยมีนโยบายที่ดีในการดูแลเรื่องสวนยาง เช่น ภาษีสงเคราะห์ ที่เก็บ 13,500 ล้านบาท ซึ่งน่าจะเอางบที่ได้ตรงนี้มาพัฒนายางระดับต้นน้ำ กลาง ปลาย ให้ยั่งยืนต่อไป และต้องบอกว่า รัฐบาลออทิสติกค์จริงๆ ไม่มีการคิดนโยบายอะไรแล้วใช้การแทรกแซงตลาด ทุกๆ 1 กิโลกรัมที่แทรกแซง รัฐบาลขาดทุน 1.50บาท แต่ในช่วงขาขึ้น ซึ่งเป็นช่วงสะดวกคล่องตัวก็น่าจะใช้เวลาที่จะคิดนโยบายเรื่องยาง
ทั้งนี้ จากผลการศึกษาได้พบ ผลกระทบและความเสี่ยงจากการขยายพื้นที่ปลูกยาง ดังนี้ ด้านปัจจัยเสี่ยงคือ 1.วิกฤตเศรษฐกิจโดยรวมปี2540และ2551 2.ความต้องการยางธรรมชาติของจีน 3.ความผันผวนของราคาอันเกิดจากนักเก็งกำไร
ด้านปัจจัยปัญหาผลผลิตล้นตลาด และปัจจัยจากความผันผวนทางเศรษฐกิจต่ออุตสาหกรรมยางทั้งระบบ โดยเกิดจากความผันผวน ได้แก่ 1.ผลกระทบจากการสูงขึ้นของราคายาง ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น อาทิ ราคากล้ายาง การจ้างกรีดยางจากการให้ส่วนแบ่งเป็นการจ้างจ่ายรายวัน 2.ผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เน้นไปทางภาคใต้ พบว่า มีการปลุกยางรุกล้ำแนวเขตป่าเขาและอุทยานแห่งชาติหรือป่าสงวน เบียดเบียนเผ่าซาไกซึ่งถูกคุกถามโดยการพัฒนา ผลกระทบด้านอุทกภัย เมื่อป่าเปลี่ยนเป็นสวนยางพารา อัตรา4ต่อ1 น้ำก็จะมีมากขึ้น ปริมาณน้ำที่เพิ่มก่อให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน
จากข้อมูลภาพถ่ายทางอากาศและภาพถ่ายดาวเทียม ปี2552 ชี้ว่าไทยมีพื้นที่ป่าลดลงตามลำดับ 4.01 ล้านไร่ทุกๆ 3 ปี เหลือเพียงร้อยละ 23.03 เท่านั้น ซึ่งควรจะมีมากกว่าร้อยละ 40 ถึงจะถือว่าอุดมสมบูรณ์ ในขณะที่ข้อมูลของกรมป่าไม้กลับรายงานสวนทาง
นอกจากนั้นเป็นผลกระทบด้านอุทกภัย ผลกระทบจากกล้ายางขาดคุณภาพ และผลกระทบต่อความมั่นคงด้านอาหาร ความเป็นครอบครัว ชุมชุนและวัฒนธรรม
สำหรับข้อเสนอเพื่อพัฒนาแผนยางพาราจากผลการศึกษา
1. การปลูกพืชของประเทศควรเน้นที่มีความหลากหลาย
2.ต้องพัฒนากลไกการซื้อขายผ่านระดับชาติ ส่วนระดับท้องถิ่นต้องส่งเสริมความเข้มแข็งให้ชุมชนเป็นวิสาหกิจชุมชน
3.ต้องสร้างกลไกการบุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อทำสวนยาง ควรมีการออกแบบใหม่และดำเนินการอย่างจริงจัง
4.ต้องให้หน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงอย่างกรมป่าไม้ กรมอุทยานฯแห่งชาติ มีนโยบายมาตรการและงบประมาณด้านการฟื้นฟูรักษา โดยให้ความสำคัญกับการจัดทำฐานข้อมูลพื้นที่ป่าไม้ของประเทศที่ถูกต้องทั้งป่าสงวนและป่าอนุรักษ์
5.สร้างกลไกควบคุมการผลิตกล้ายางให้ได้คุณภาพ
6.ต้องมีการส่งเสริมความรู้และบทเรียนการยกร่องเกษตรกรสวนยางโดยความร่วมมือภาครัฐและองค์กรวิชาการ
7.การรณรงค์เรื่องของการให้ความรู้เรื่องกรีดยางที่ดีและเหมาะสม
8.ส่งเสริมให้เกษตรกรยางเก็บออมเงินจากช่วงที่ยางมีราคาดีนอกเหนือจากการออมปกติ
และสุดท้ายแผนพัฒนายางพาราต้องให้ความสำคัญระดับต้นน้ำและระดับกลางน้ำ