3 พรรค ลงความเห็น ชูนโยบายสิ่งแวดล้อม โดนใจปชช.ยาก
“ปลอดประสพ” บอกเรื่องสิ่งแวดล้อมคนให้ความสำคัญน้อยกว่าศก. ด้านคุณหญิงกัลยา ชี้นอกจากไกลตัว แล้วยังเห็นผลช้า ส่วนสรยุทธ จากภูมิใจไทย ยันนโยบายสิ่งแวดล้อมมีข้อจำกัดในการสื่อสารกับปชช. จับต้องยาก
วันที่ 8 มิถุนายน ชมรมนักข่าวสิ่งแวดล้อม จัดงานเสวนา “ โจทก์ใหญ่สิ่งแวดล้อม ที่พรรคการเมืองหมางเมิน” ณ สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย โดยมีตัวแทน จาก 3 พรรคการเมือง ประกอบด้วย นายปลอดประสพ สุรัสวดี จากพรรคเพื่อไทย คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช จากพรรคประชาธิปัตย์ และนายสรยุทธ เพ็ชรตระกูล จากพรรคภูมิใจไทย ร่วมเสวนา
นายปลอดประสพ กล่าวถึงนโยบายสิ่งแวดล้อม ประชาชนให้ความสำคัญน้อยกว่าเรื่องเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเมื่อได้เป็นรัฐบาลแล้ว บริหารยาก เพราะ สิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องของความรู้สึกที่แปรเปลี่ยนตลอดเวลา ทั้งระดับการศึกษา อาชีพ ข้อมูลข่าวสาร ฉะนั้น กระทรวงนี้จึงทำงานค่อนข้างยาก
"จะเห็นโปสเตอร์ของพรรคการเมืองเน้นเรื่องเศรษฐกิจมากกว่าเรื่องสิ่งแวดล้อม" นายปลอดประสพ กล่าว และว่า ขณะที่เรื่องโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ นโยบายของพรรค จะไม่ทำแล้ว ตราบเท่าที่เทคโนโลยียังไม่ปลอดภัย 100% หากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล 4 ปีจะหยุด ไม่มีการพูดถึงอีกต่อไป
สำหรับแผนพัฒนาโรงไฟฟ้าในอนาคต ตัวแทนจากพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ดังนั้นประชาชนต้องมีมาตรการประหยัดและทำอย่างจริงจัง ซึ่งทางพรรคจะหันไปหาพลังงานทดแทน ทั้งพืชพลังงาน พลังงานจากลม พลังงานแสงอาทิตย์ ในระดับบ้าน เป็นต้น ขณะเดียวกันอุตสาหกรรมที่ใช้ไฟฟ้ามากๆ จะต้องรับผิดชอบในการสร้างโรงไฟฟ้าของตนเอง เชื่อว่า จะเป็นทางเดียวที่รัฐไม่ต้องลงทุนในด้านนี้ และเพื่อให้ผู้ใช้ไฟฟ้าได้ใช้ไฟอย่างมีความรับผิดชอบ
ด้านคุณหญิงกัลยา กล่าวถึงการหาเสียงโดยเน้นนโยบายสิ่งแวดล้อม นั้น ในภาพรวมขายยาก เพราะเป็นเรื่องไกลตัว เรื่องสิ่งแวดล้อมกว่าจะเห็นผล ต้องใช้เวลา และคนมักจะลืมไปแล้ว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ นำต้องทำให้สิ่งแวดล้อมเป็นวาระแห่งชาติ ให้ได้ ขณะที่นักการเมืองก็ต้องมี Political View แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังด้วย
ส่วนเรื่องโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ตัวแทนจากพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การหาความรู้ การวิจัย ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ซึ่งเชื่อว่าเทคโนโลยีมีการพัฒนาขึ้นตลอดเวลา จากยุคแรก ถึงยุคสาม และสี่ ดีขึ้นอยู่แล้ว แต่หากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ยังเป็นเทคโนโลยีแบบปัจจุบัน เราไม่เอาอยู่แล้ว และคิดว่า คำตอบสุดท้ายของเรื่องนี้อยู่ที่ประชาชน ว่า จะเอาหรือไม่เอา ฉะนั้นเราควรทุ่มพลัง งบประมาณไปให้สื่อมวลชน และองค์กรพัฒนาเอกชน ให้เข้าใจและสื่อสารไปยังประชาชนว่า อีก 20 ปีข้างหน้าประเทศต้องใช้ไฟฟ้าถึง 5 หมื่นเมกกะวัตต์ เราจะเอามาจากไหนได้บ้าง
“ขณะนี้ยังไม่มีการพูดถึงนิวเคลียร์ ในแผน PDP ก็มีการเลื่อนการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ออกไป 3 ปี หากได้เป็นรัฐบาล จะต้องถามประชาชนก่อน ประชาชนคือคำตอบสุดท้าย รวมทั้งจะเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนจาก 8% เป็น 20% ให้ได้ภายในแผนชาติฉบับที่ 11”
กรณีมาบตาพุด ตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวด้วยว่า พรรคได้จัดการเรื่องนี้อย่างภาคภูมิใจ โดยดำเนินการตั้งคณะกรรมการ 4 ฝ่ายมาศึกษาเรื่องนี้และกำหนดโครงการผลกระทบ 11 ประเภท ซึ่งได้ทำตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 67 (วรรคสอง)
ขณะที่นายสรยุทธ กล่าวว่า ทางพรรคภูมิใจไทย เห็นว่า นโยบายสิ่งแวดล้อมมีข้อจำกัดในการสื่อสารกับภาคประชาชน ซึ่งไม่เหมือนกับนโยบายอื่นๆ ที่ออกไปแล้วสามารถจับต้องได้ทันที แต่หากไม่ให้น้ำหนักเรื่องสิ่งแวดล้อมเลย ทุกอย่างที่เสนอไปทั้งหมดก็ทำไม่ได้ กลายเป็นอุปสรรคในอนาคต ดังนั้นจึงมองว่า เป็นนโยบายที่ต้องทำควบคู่กันไป
“นโยบายของพรรคเรื่องสิ่งแวดล้อม นโยบายป้องกัน คือการทำให้มีการบังคับใช้กฎหมายสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่ ที่เกี่ยวข้องกับทุกกระทรวง เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ซึ่งทุกคนต้องช่วยกัน อีกทั้งภาพการณรงค์เรื่องสิ่งแวดล้อม ต้องมีภาพเป็นบวกไม่กลายเป็นอุปสรรต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจ”
นายสรยุทธ กล่าวถึงนโยบายพรรคเกี่ยวกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ด้วยว่า หากเทคโนโลยียังเป็นเท่าปัจจุบันอยู่ คงไม่สามารถดำเนินการอะไรต่อไปได้ ทางกลับกันเราต้องกลับมาดูการใช้ทรัพยากรด้านพลังงานที่มีอยู่ให้คุ้มค่า และมีประสิทธิภาพสูงสุด รวมทั้งนำเทคโนโลยีที่สะอาดเข้ามาช่วย ส่งเสริมพลังงานลม พลังงานแสดงอาทิตย์ และพืชพลังงาน