สธ. ผนึกกำลังร่วมพัฒนาเครื่องมือคัดกรองและประเมินความผิดปกติของพัฒนาการเด็กปฐมวัย
เตรียมผลักดันให้ทุกองค์กรในสังกัดใช้ เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาพัฒนาการเด็ก
พญ.พรรณพิมล วิปุลากร รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “การพัฒนาเครื่องมือคัดกรองและประเมินความผิดปกติของเด็กปฐมวัย” การทำงานครั้งนี้เป็นความร่วมมือกันของกระทรวงสาธารณสุข ได้แก่ กรมสุขภาพจิต กรมอนามัย และหน่วยบริการสาธารณสุขในพื้นที่ และสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว สสส. เนื่องจากการตระหนักในความสำคัญของปัญหาพัฒนาการเด็กปฐมวัยไทยที่มีแนวโน้มลดต่ำลง ซึ่งหากได้ตรวจคัดกรองเด็กทุกคนตามช่วงอายุที่กำหนด และมีระบบส่งต่อเพื่อรับการกระตุ้นและแก้ไข เมื่อพบเด็กที่มีความเสี่ยงที่จะมีพัฒนาการผิดปกติ จะช่วยลดจำนวนเด็กที่มีพัฒนาการผิดปกติได้เป็นจำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่หน่วยงานที่ทำหน้าที่คัดกรองและประเมินพัฒนาการเด็กในเบื้องต้น คือ Well Child Clinic ที่อยู่ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหรือศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก มักติดปัญหาเรื่องของเครื่องมือที่ใช้ ดังนั้น กระทรวงสาธารณสุขในฐานะองค์กรหลักที่รับผิดชอบจึงร่วมกันพัฒนาเครื่องมือกลางที่ง่ายต่อการใช้งาน เป็นมาตรฐานเดียวกัน รวมทั้งมีคุณภาพเชื่อถือได้ในเชิงวิชาการ กระบวนการเชิงวิจัย และเชิญผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กปฐมวัยมาร่วมดำเนินงานในครั้งนี้ โดยมีสถาบันพัฒนาเด็กราชนครินทร์ เชียงใหม่ เป็นคณะทำงานหลัก โดยหวังว่า เครื่องมือนี้จะช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่สามารถทำงานได้อย่างแม่นยำและรวดเร็วเพื่อผลประโยชน์แก่เด็กไทยทุกคนต่อไป
ด้าน พญ.ศิริพร กัญชนะ อดีตรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ เกิดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบูรณาการและพัฒนาเครื่องมือที่มีคุณภาพและมาตรฐานทางวิชาการในการคัดกรอง-ส่งเสริม ประเมิน-ป้องกัน วินิจฉัย-แก้ไข ส่งต่อ กระตุ้นรักษา และติดตามเด็กปฐมวัย (แรกเกิด-5ปี) ให้สามารถนำไปจัดบริการเด็กปฐมวัยได้ในทุกหน่วยบริการสาธารณสุข เนื่องจากที่ผ่านมาเด็กที่มารับการตรวจคัดกรองพัฒนาการยังได้รับการดูแลเอาใจใส่ไม่ครอบคลุม ดังนั้น ถ้าจะทำให้การดูแลเด็กเป็นผลต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานหลายเรื่องเพื่อความสำเร็จที่เป็นรูปธรรม เช่น การจัดบริการแก่เด็กปฐมวัย ทั้งการให้วัคซีนและการตรวจวัดพัฒนาการ ซึ่งเป็นข้อติดขัดมากว่า 25 ปี ในเรื่องจำนวนวันตรวจเพราะตรวจเดือนละครั้ง ดังนั้นควรเพิ่มวันตรวจเป็นสัปดาห์ละครั้งพร้อมทั้งแบ่งกลุ่มเด็กที่มารับบริการตามอายุเพื่อได้รับการดูแลอย่างเต็มที่และทั่วถึง อีกทั้งแยกวันตรวจตามโรค เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ ซึ่งขณะนี้มีหลายแห่งปรับเปลี่ยนการบริการและเปลี่ยนเครื่องมือ โดยเพิ่มการกระตุ้น การสัมผัส และมีการแนะนำพ่อ แม่ ให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพื่อให้พัฒนาการเด็กในเรื่องไอคิว อีคิวเป็นไปตามวัยด้วย
“โดยพ่อแม่ต้องตรวจเช็คพัฒนาการลูกตามคู่มือที่ได้รับจากแพทย์โดยลงบันทึกประจำวันก่อนนำมาให้แพทย์ตรวจในเรื่องพัฒนาการแต่ปัจจุบันพ่อแม่ยังไม่ค่อยให้ความสำคัญหรือเห็นถึงความจำเป็น ฉะนั้น ต้องมีการทุ่มงบประมาณในหลายหน่วยงานให้ดำเนินการอย่างจริงจัง เพื่อทำเครื่องมือให้มีประสิทธิภาพในการตรวจพัฒนาการเด็ก ให้ทุกพื้นที่ให้บริการและการดูแลเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพเหมือนกัน ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาเด็กที่พัฒนาการผิดปกติได้ถึง15%ภายในเวลา 5 ปี”
ศ.เกียรติคุณ พ.ญ.ศิริกุล อิศรานุรักษ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสาธารณสุข กล่าวว่า 11 ปีที่ผ่านมา พบสาเหตุที่เด็กปฐมวัยไม่มีพัฒนาการตามวัย เนื่องจากขาดเครื่องมือช่วยให้สมองของเด็กมีพัฒนาการที่สมวัยดังนั้น จะต้องให้ความสำคัญของสมองในการพัฒนา โดยการป้อนข้อมูลลงในสมองของเด็กต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพราะมีจำนวนเด็กที่ผิดปกติสูงถึง 10% หากไม่ทำต่อเนื่องเด็กก็จะไม่มีพัฒนาการ ฉะนั้นต้องมีการคัดกรองเพื่อให้เด็กมีพัฒนาการตามมาตรฐานอย่างไรก็ตามจากการประเมินและพัฒนาเครื่องมือช่วยพัฒนาสมองของเด็กพบว่าได้รับการสนใจมากขึ้นจากเดิมที่มีเพียงแค่ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง ตรวจสุขภาพของฟัน เท่านั้น
ขณะที่ นพ.ดนัย ธีวันดา ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การที่กรมอนามัยและกรมต่างๆ พยายามปรับเครื่องมือ ตนมองว่าเป็นจุดดีของกระทรวงสาธารณสุขเพราะพบปัญหาว่าพ่อ แม่ ผู้ปกครองยังขาดการเอาใจใส่ในสมุดสีชมพูที่บันทึกพัฒนาการเด็กตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งก็ยังคงเป็นเครื่องมือที่สำคัญอยู่ ดังนั้น จะต้องหากระบวนการเพื่อกระตุ้นให้พ่อ แม่ เปิดอ่านศึกษาให้เกิดความเข้าใจ จะได้เฝ้าระวัง นอกจากนี้ ก็ต้องสร้างกลไกให้ เจ้าหน้าที่ทางสาธารณสุขผู้รับผิดชอบมีความรู้ ความเข้าใจ ในการที่จะใช้เครื่องมือนี้อย่างเต็มที่หลายแห่งถึงกับประกาศเป็นนโยบายบังคับให้เจ้าหน้าที่มีกระบวนการที่ชัดเจนในการนำมาใช้ และสอนให้กับพ่อ แม่ เพราะถือเป็นเครื่องมือเบื้องต้นที่สำคัญการที่จะทำให้เกิดผลสำเร็จได้จริง ยังทำได้เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น ดังนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัด ต้องกำหนดเป็นนโยบาย และทุกหน่วยงาน กรม เครือข่ายที่เกี่ยวข้องต้องไปวางแผนการดำเนินงานในเบื้องต้น
