ชี้หนุนปฐมวัยมีคุณภาพ ต้องเชื่อมระบบสาธารณสุข-ท้องถิ่น-ศึิกษา ร่วมกัน
เชื่อมั่นปฐมวัยคุณภาพสร้างได้ หากเชื่อม 3 ระบบ สาธารณสุข-ท้องถิ่น-ศึกษา บูรณาการทำงานร่วมกัน
เร็วๆ นี้ ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) ร่วมกับสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเสวนาวิชาการเวทีปฏิรูปการเรียนรู้สู่การศึกษาเพื่อคนทั้งมวล ครั้งที่ 19 ‘ปฐมวัย...คุณภาพที่สร้างได้’ โดยในเวทีได้มีการนำเสนอ 2 กรณีศึกษา ได้แก่ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก (ศพด.) เทศบาลตำบลศรีษะเกษ อ.นาน้อย จ.น่าน และศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลสวรรค์โลกประชาสรรค์ อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย
นายอดุลย์ภัทร เหมภัทรสุวรรณ นายกเทศมนตรีตำบลศรีษะเกษ กล่าวว่า ศพด.เทศบาลตำบลศรีษะเกษเกิดจากการยุบรวมกันของทั้ง 8 ศูนย์เดิมทำให้มีจำนวนเด็กมากพอที่จะจัดห้องเรียนแยกตามอายุได้ ปัจจุบันเด็กปฐมวัย (อายุ 2 – 5 ปี) อยู่ในความดูแล 179 คน และในจำนวนนี้มีเด็กที่พัฒนาการผิดปกติ 3 คน ครูปฐมวัย 13 คน คิดเป็นอัตราส่วนครู 1คน ต่อเด็ก 14 คน และในปี 2556 ได้เข้าร่วมโครงการส่งเสริมศักยภาพศูนย์พัฒนาเด็กเล็กขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อเป็นศูนย์เรียนรู้ด้านการพัฒนาเด็กปฐมวัย กับ สสส. ทำให้ ศพด.ได้ปรับกรอบแนวคิดของการทำงานเพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัยให้มีสุขภาวะที่ดีทั้ง ด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา และสังคม นำเทคนิค 3 ประสาน คือการบูรณาการและสร้างความร่วมมือระหว่าง ชุมชนท้องถิ่น หน่วยบริการสาธารณสุขระดับปฐมภูมิ และระบบการจัดการเรียนรู้ ซึ่งถึงแม้โครงการจะเริ่มได้ไม่นาน แต่ก็สร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นกับผู้ปกครอง ครู เด็ก และชุมชนได้อย่างชัดเจน
นางบุญนำ เอี่ยมปาน ผู้อำนวยการกองการศึกษาและหัวหน้าศพด.เทศบาลเมืองสวรรคโลกประชาสรรค์ กล่าวว่า ปัจจุบันเทศบาลเมืองสวรรคโลกมีศพด.ในความดูแล 5 ศูนย์ แต่ทางเทศบาลเองจัดระบบการบริหารจัดการให้เป็น 1 เดียวกัน ทั้งหลักสูตรการเรียนการสอน การจัดทำสมุดบันทึกประจำตัวเด็ก ที่มีทั้งข้อมูลทางสุขภาพและในแต่ละวันครูจะมีการประเมินว่าเด็กมีพฤติกรรมถึงระดับใดจากนั้นสรุปผลแต่ละสัปดาห์และส่งสมุดประจำตัวให้ผู้ปกครองทุกอาทิตย์ หากพบว่ามีเด็กที่เข้าข่ายสงสัยพัฒนาการล่าช้าก็จะส่งต่อให้แพทย์วินิจฉัย และจะไม่ทิ้งให้ผู้ปกครองไปหาหมอเพียงลำพัง ครูต้องตามไปด้วย จึงเป็นการทำงานร่วมกันกับหน่วยบริการทางสาธารณสุข ครู และผู้ปกครอง เพื่อหวังให้ลูกหลานของเรามีคุณภาพและความสุข
ด้าน ศ.กิตติคุณสุมน อมรวิวัฒน์ กรรมการบริหารแผน คณะที่ 4 สสส. กล่าวว่า วันนี้มีความสุขที่พบสิ่งดีจากศพด.ทั้ง 2 แห่ง ที่ดึงทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมได้เกิดการรวมใจ รวมทั้ง3 ระบบเข้าด้วยกัน นับเป็นสูตรความสำเร็จได้ ดังเช่นที่ ศ.นพ.ประเวศ วะสี เสนอว่าการจัดการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัยต้องมีองค์ประกอบด้านวิชาการ บริหารจัดการ และยุทธศาสตร์ ซึ่งคนทุกกลุ่มและทุกวัยต้องมาร่วมมือกัน ให้เกิดการพัฒนา โดยยึด หลัก รัก เอาใจใส่ และเข้าใจเด็ก
“การพัฒนาเด็กปฐมวัยไม่ต้องรอพรุ่งนี้ เพราะวันนี้สำคัญที่สุด หากเปรียบเด็กเป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์ที่จะเพาะลงบนผืนแผ่นดินไทยถ้าอากาศร้อนแห้งแล้ง มีกรวดทรายเมล็ดพันธุ์นี้จะไม่เติบโตเป็นต้นกล้าที่แข็งแรงและการย้ายต้นกล้าไปปลูกลงกระถางจะกลายเป็นต้นกล้าที่อ่อนล้า” ศ.กิตติคุณสุมน กล่าว และว่าขณะนี้เราก้าวสู่สังคมที่แข่งขัน สังคมของข่าวลือเหลื่อมล้ำ ห่างเหิน ก้มหน้ากดไลค์อย่างเดียวจึงเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมาก เพราะสัมพันธ์ไม่มีในเด็กวัยรุ่น หนุ่มสาว แต่ก้มหน้ากดไลค์กันอย่างเดียว ทุกวันนี้เราจึงอยู่ในสังคมที่ไม่พูดกันแล้ว ดังนั้น การจัดการศึกษาปฐมวัยจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นมากเพราะเป็นการศึกษาที่อบรมเลี้ยงดูเด็กตั้งแต่เล็ก สร้างให้เด็กมีคุณธรรมจึงสามารถลดความเหลื่อมล้ำได้
ขณะที่ นางเพ็ญพรรณ จิตตะเสนีย์ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชนและครอบครัว สสส. กล่าวถึงปัญหาสำคัญในปัจจุบันยังไม่มีระบบส่งต่อข้อมูลของเด็กเล็กทั้งเรื่องของสุขภาพ การเรียนรู้ หรือความเสี่ยงผิดปกติ ซึ่งยังเป็นช่องว่างของการทำงานควรมีการออกแบบการทำงานที่สามารถติดตามข้อมูลเด็กได้ตั้งแต่แรกเกิดไปจนโต ซึ่งทุกภาคส่วนควรร่วมกันปิดช่องว่างเหล่านี้เพื่อให้มีความสมบูรณ์ขึ้น
