อึ้ง! ผลสำรวจพบคนไทย 20 ล้าน เห็นด้วยหากรบ.ทุจริต แต่มีผลงาน
หอการค้าไทยนำทีม จับมือ 23 องค์กร ประกาศสงครามต้านคอร์รัปชั่น หวังตัดวงจรอุบาทว์ หยุดให้-จ่ายใต้โต๊ะ ชูฮ่องกงเป็นตัวอย่าง “ดุสิต นนทะนาคร” เชื่อมั่นไทยเปลี่ยนได้หากทุกฝ่ายร่วมมือ
วันที่ 1 มิถุนายน ภาคีเครือข่ายการป้องกันและปราบปรามทุจริตคอร์รัปชั่น 23 องค์กร เดินหน้าประกาศสงครามต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น ร่วมจัดงานสัมมนา "ต่อต้านคอร์รัปชั่น จุดเปลี่ยนประเทศไทย" ระดมความคิดเห็นทุกภาคส่วนดันให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม และมีส่วนร่วมต่อต้านการโกงกิน ณ ห้อง แอทธินี คริสตัล ฮอลล์ ชั้น 3 โรงแรม พลาซ่า แอทธินี รอยัล เมอร์ริเดียน ถ.วิทยุ กรุงเทพฯ โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ประธานในพิธีเปิดงาน
Mr.Ferdinand (Nandor) Gyula von der Luehe รองประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และประธานคณะทำงานป้องกันและปราบปรามคอร์รัปชั่น หอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันการทุจริตคอร์รัปชั่นนับเป็นปัญหาสำคัญระดับโลก ที่หลายประเทศพยายามหามาตรการป้องกันและปราบปราม ทั้งการออกกฎหมายควบคุมพฤติกรรม การส่งเสริมให้มีระบบการตรวจสอบซึ่งกันและกัน โดยยังคงส่งเสริมการดำเนินธุรกิจและรักษาความสัมพันธ์อันดีกับหน่วยงานภาค รัฐ ขณะที่สถานการณ์การทุจริตคอร์รัปชั่นได้ฝังรากลึกและกัดกร่อนทำลายประเทศไทย มายาวนาน ซึ่งไม่เพียงแต่จะเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าของเศรษฐกิจ แต่ยังเพิ่มต้นทุนทางธุรกิจและความเหลื่อมล้ำทางสังคม ทั้งยังส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์และความสามารถในการแข่งขันของประเทศอีกด้วย
ขณะที่การดำเนินการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นของประเทศ ฮ่องกง รองประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยฯ กล่าวว่า เป็นแนวทางที่น่าสนใจ และน่าจะนำมาเป็นกรณีศึกษา ไม่ว่าจะเป็นการใช้ระบบตรวจสอบและคานอำนาจ หรือการปลูกฝังจิตสำนึกที่ดีกับประชาชน เพื่อกำหนดแนวทางปรับใช้กับประเทศไทยต่อไป
ขณะที่นายดุสิต นนทะนาคร ประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า คนไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยตระหนักถึงภัยของการทุจริตคอร์รัปชั่น ทั้งยังมองว่าเป็นเรื่องปกติ และ "ยอมให้โกงได้ถ้ามีผลงาน" หาก ปล่อยทิ้งไว้ก็เหมือนกับมะเร็งร้ายที่จะกัดกร่อนประเทศไทย จนอาจถึงขั้นล่มสลายในที่สุด เราต้องเริ่มต้นแสดงพลังให้ทุกภาคส่วนเห็นว่า ภาคีเครือข่ายฯ ของเราเอาจริงเอาจัง และพร้อมที่จะร่วมมือกันอย่างแข็งขัน เพื่อให้การต่อต้านทุจริตคอร์รัปชั่นเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการหยุดให้หรือหยุดจ่าย เพื่อยุติข้ออ้างที่ว่าการทุจริตคอร์รัปชั่น เกิดจากมีผู้ให้จึงมีผู้รับ ถ้าเรายุติการให้หรือการจ่ายที่ไม่ถูกต้อง ก็ถือเป็นการตัดวงจรอุบาทว์นี้ไปโดยปริยาย
“ การต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น จะสามารถเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปในทางที่ดีขึ้นได้ เพราะได้เห็นตัวอย่างการต่อต้านของประเทศฮ่องกงที่ทำสำเร็จมาแล้ว ฮ่องกงเมื่อ 20 ปีที่แล้ว สถานการณ์ทุจริตคอร์รัปชั่นเลวร้ายกว่าบ้านเรา แต่วันนี้ฮ่องกงสามารถพลิกฟื้นจากที่เคยมีภาพลักษณ์ของการโกงกินแทบทุกขั้น ตอนในการทำธุรกิจ กลายเป็นมีความโปร่งใสเป็นอันดับที่ 13 ของโลก" นายดุสิต กล่าว และว่า ขนาดประเทศที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น ในเมื่อฮ่องกงยังทำได้สำเร็จ ประเทศไทยก็ต้องทำได้เช่นกัน หากทุกคนร่วมมือร่วมใจกันมุ่งมั่นเอาจริงเอาจังในการแก้ปัญหานี้ เชื่อมั่นว่าประเทศไทยจะสามารถหยุดการทุจริตคอร์รัปชั่น และเปลี่ยนแปลงประเทศไปในทางที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน
คน 22 ล้าน ตอบจับเงินสินบนไม่ใช่เรื่องผิด
ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้เปิดผลการวิจัยสถานการณ์คอร์รัปชั่นไทย เมื่อเดือนพฤศจิกายน –ธันวาคม 2553 โดย สำรวจจากกลุ่มข้าราชการ นักธุรกิจ และประชาชน 1,220 คน ซึ่งเห็นตรงกันว่า สถานการณ์คอร์รัปชั่นไทยมีแนวโน้มมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น คนกว่าร้อยละ 12 เห็นด้วยมากคอร์รัปชั่นเป็นปัญหาในการพัฒนาประเทศ และร้อยละ 83 เห็นด้วยมากที่สุดว่า ปัญหาคอร์รัปชั่นสมควรได้รับการแก้ไขอย่างจริงใจ
สาเหตุการเกิดทุจริตคอร์รัปชั่นในประเทศไทย ในสายตานักธุรกิจ เห็นว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐได้รับค่าตอบแทนต่ำ, การจัดสรรงบประมาณแผ่นดินไม่มีประสิทธิภาพ, กฎหมาย คำสั่งเปิดโอกาส, เจ้าหน้าที่ของรัฐขาดคุณธรรม, ขาดกลไกในการลงโทษและบังคับใช้กฎหมาย, ขาดระบบตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ, ระบบอุปถัมภ์ของสังคมไทยที่เอื้อให้เกิดการทุจริต,ขาดความโปร่งใสและตรวจสอบ ได้ในกระบวนการทางการเมือง,วัฒนธรรมเงินใต้โต๊ะ และมีการแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง
ในปี 2553 ผู้ประกอบการกว่าร้อยละ 71 รู้ว่าจะต้องจ่ายอย่างไร และ เท่าใด เพื่อความสะดวกในการทำงาน แม้เจ้าหน้าที่รัฐไม่เรียกร้องก็ตาม และอีกร้อยละ 29 จ่ายเมื่อเจ้าที่รัฐเรียกร้อง และเกือบร้อยละ 80 ของผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจกับภาครัฐต้องจ่ายเงินเพื่อให้ได้จากรัฐ โดย 1 ใน 3 ต้องจ่ายเงินมากกว่าร้อยละ 25
คนส่วนใหญ่ร้อยละ 62 เห็นว่า เรื่องทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นเรื่องสำคัญ แต่อีกร้อยละ 31 คิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว ซึ่งคนกว่าครึ่งไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลจะทุจริตคอร์รัปชั่น แม้จะสร้างผลงาน
และที่น่าตกใจ คือ มีคนถึงร้อยละ 32 หรือเทียบเป็นสัดส่วนประมาณ 20 ล้านคน เห็นด้วยที่รัฐบาลจะทุจริตคอร์รัปชั่น แต่มีผลงาน หรือทำประโยชน์ให้สังคม
คนไทยร้อยละ 34 หรือเทียบสัดส่วนประมาณ 22 ล้านคนคิดว่า การจับเงินสินบนไม่ใช่เรื่องผิด
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 77.6 ยินดีมีส่วนร่วมต่อต้านคอร์รัปชั่น และผู้ประกอบการกว่าร้อยละ 20.7 อยากมีส่วนร่วม แต่ทำไม่ได้ เพราะมีความจำเป็นทางธุรกิจอยู่ และร้อยละ 1.7 เท่านั้นที่ไม่อยากมีส่วนร่วม
ผลระดมความคิดเห็น 4 กลุ่ม
อย่างไรก็ตามในช่วงบ่าย มีการระดมความคิดจากทั้ง 4 กลุ่ม ซึ่งประกอบด้วย กลุ่มเยาวชน การศึกษา และประชาชน, กลุ่มภาคเอกชน, กลุ่มสื่อมวลชน และกลุ่มภาครัฐ เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหา ให้ร่วมกันรณรงค์สร้างค่านิยมและจิตสำนึกการต่อต้านคอร์รัปชั่น
ประเด็นสำคัญของแต่ละกลุ่มมีดังนี้
- กลุ่มเยาวชน การศึกษา และประชาชน การต่อสู้กับคอรัปชั่นต้องเริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ คือที่ตัวเราเองและครอบครัว พ่อแม่มีหน้าที่สร้างค่านิยมและจิตสำนึก ทำตัวเป็นตัวอย่าง และที่สำคัญต้องยึดมั่นในความพอเพียง ที่น่ายินดี คือ มีเยาวชนเป็นจำนวนมาก ที่มุ่งมั่นจะเข้าร่วมขบวนการเป็นกระบอกเสียงในการต่อต้านคอร์รัปชั่น ซึ่งจะทำผ่านโซเชียลมีเดียและสื่อต่าง ๆ
- กลุ่มภาคเอกชน การต่อต้านคอร์รัปชั่นต้องเริ่มจากการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ซื่อสัตย์และ ยึดมั่นในความเป็นธรรม ที่สำคัญที่สุดต้องเริ่มต้นจากจิตสำนึกและวิสัยทัศน์ของผู้นำองค์กร และถ่ายทอดไปในทุกระดับ นอกจากนี้ ควรยกย่องพนักงานที่ทำตัวเป็นแบบอย่าง นอกจากนี้ ภาคเอกชนต้องร่วมมือกันอย่างเป็นรูปธรรมทั้งระบบเพื่อปฏิเสธการทุจริตให้ สินบนทุกรูปแบบ
- กลุ่มสื่อมวลชน สภาวิชาชีพฯ และองค์กรชุมชน พร้อมในการทำงานประสานกันอย่างเป็นระบบ โดยสภาวิชาชีพจะมุ่งมั่นในการสร้างมาตรฐานจรรยาบรรณให้เข้มแข็ง ส่วนองค์กรชุมชนต้องพร้อมทำหน้าที่ตรวจสอบ ในขณะที่สื่อต้องพร้อมที่จะลุกขึ้นเป็นกระบอกเสียงให้สังคม ดึงคอร์รัปชั่นจากมุมมืดมาสู่เวทีที่สว่าง เปิดโอกาสให้ตรวจสอบการทุจริตด้วยข้อเท็จจริง โดยทำงานอย่างมีจุดยืน ไม่หวั่นไหวต่ออำนาจและการแทรกแซง
- กลุ่มภาครัฐ ในการต่อต้านการคอร์รัปชั่น ควรเริ่มจากภาคธุรกิจรวมตัวกันอย่างเข้มแข็งเพื่อปฏิเสธการจ่ายเงินใต้โต๊ะ ปฏิบัติให้เป็นธรรมเนียมทั้งวงการ จนในที่สุดภาครัฐก็จะไม่สามารถเรียกร้องได้ นอกจากนี้ต้องจัดสร้างระบบข้อมูลให้เชื่อมโยงกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยว ข้อง เพื่อให้ทุกภาคส่วนเข้าไปตรวจสอบข้อมูลได้อย่างโปร่งใส อีกความหวังหนึ่ง คือ ข้าราชการรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นกลุ่มคนหนุ่มสาวที่มีความคิดทันสมัย ยึดมั่นในการทำตัวเป็นข้าราชการที่มือสะอาดและมีเกียรติ