ผู้หญิงพลิกโฉม เรียกร้อง กกต.-พรรคการเมือง ใส่ใจหลักความเสมอภาค
เครือข่ายผู้หญิงพลิกโฉมฯ แถลงจุดยืน ‘พลังสตรีพลิกโฉมเลือกตั้ง 54’ หลังพบผู้สมัครเพศหญิงไม่ถึง 15% ส่วนพรรคเล็กไม่มีเลย “รศ.มาลี” ชี้ไทยเมินหลักเท่าเทียม หวั่นตกขบวนอาเซียน แนะกกต. เดินสายสร้างความเข้าใจนักการเมือง
วันที่ 1 มิถุนายน เครือข่ายผู้หญิงพลิกโฉมประเทศไทย คณะกรรมการเครือข่ายพลังสตรีเพื่อการปฏิรูป ร่วมกับ สำนักส่งเสริมความเสมอภาคหญิงชาย กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จัดเวทีสาธารณะ ‘พลังสตรีพลิกโฉมเลือกตั้ง 54’ เรื่อง ‘ใครละเมิดมาตรา 41? และ ทำไมไม่ทำข้อมูลผู้มีสิทธิและผู้มาใช้สิทธิแยกเพศหญิงชาย’ ณ ห้องประชุมชั้น 3 สำนักกิจการสตรีฯ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (บ้านราชวิถี) โดยมีนายอาธิศักดิ์ จอมสืบวิสิฐ ผู้ตรวจการ สำนักคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รศ.มาลี พฤกพงษ์สาวลี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และดร.กรวิภา วิลลาส คณะกรรมการเครือข่ายพลังสตรีเพื่อการปฏิรูป ร่วมเสวนา
รศ.มาลี กล่าวถึง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มา ซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2554 ซึ่งมีนัยสำคัญต่อประเด็นสิทธิสตรี ในมาตรา 41 วรรคท้าย ที่ระบุว่า บัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องคำนึงถึงโอกาส สัดส่วนที่เหมาะสมและความเท่าเทียมกันระหว่างหญิงและชายว่า กกต. ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ จะต้องมีหน้าที่เข้าไปพูดคุยกับนักการเมืองให้เข้าใจว่า นี่คือพันธกิจทางกฎหมาย ที่พรรคการเมืองจะต้องดำเนินการ ไม่เช่นนั้น เราจะตกขบวน
“ปัจจุบัน ประชากรเพศหญิงมีจำนวนมากกว่าชายถึง 1.2 ล้านคน อีกทั้งเมื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 หากยังไม่ส่งเสริมเรื่องความเสมอภาคของผู้หญิงอย่างจริงจัง จะส่งให้หญิงไทยขาดโอกาสในการพัฒนาทักษะ ทั้งด้านการบริหารรัฐกิจ การจัดทำนโยบายสาธารณะ เช่นนั้นแล้ว ประเทศไทยจะตกอยู่ในสภาวะเสียเปรียบ”
รศ.มาลี กล่าวต่อว่า สิ่งที่เรากำลังผลักดันขณะนี้ ทั่วโลกได้ทำไปหมดแล้ว ขณะเดียวกัน ข้อมูลจากสหภาพรัฐสภาระหว่างประเทศ ยังระบุถึงวิธีเพิ่มสัดส่วนผู้หญิงในรัฐสภาไว้อย่างชัดเจน เช่น บางประเทศใช้วิธีกำหนดสัดส่วนหญิงชายที่จะเข้าสู่รัฐสภาไว้ในรัฐธรรมนูญ บางประเทศกำหนดไว้ในกฎหมายเลือกตั้ง หรือไม่ก็ระเบียบของพรรคการเมือง วิธีการเหล่านี้ส่งผลให้สัดส่วนของผู้หญิงเพิ่มขึ้น ในทางกลับกัน ประเทศไทย แม้จะมีข้อกำหนดดังกล่าวอยู่ในรัฐธรรมนูญ แต่กลับไม่สามารถบังคับได้ ไม่รู้ว่าติดขัดอะไร
ด้าน ดร.กรวิภา กล่าวถึงสัดส่วนผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส แบบบัญชีรายชื่อ ขณะ นี้ หากพิจารณาจากผู้สมัครที่มีประกาศชื่อระหว่างวันที่ 19 -23 พฤษภาคม 2554 พบว่า มีเพียง 11 พรรคจากทั้งหมด 40 พรรคที่มีสัดส่วนผู้สมัครเพศหญิงเกินร้อยละ 30 ขณะเดียวกันข้อมูล ส.ส.เขต ซึ่งพิจารณาจาก 2 พรรคใหญ่ ซึ่งส่งผู้สมัครเต็มจำนวน นั่นคือ 125 คน พบว่า พรรคประชาธิปัตย์ส่งผู้สมัครหญิงทั้งสิ้น 13 คน ส่วนพรรคเพื่อไทยส่งผู้สมัครหญิงจำนวน 11 คน สัดส่วนดังกล่าวชัดเจนว่า ยิ่งตายเข้าไปใหญ่ อย่างไรก็ตาม หาก กกต. มีการระบุว่า จะไม่รับรองพรรคการเมืองที่ไม่ส่งผู้สมัคร ซึ่งเป็นผู้หญิงตามข้อกำหนด เชื่อว่า พรรคการเมืองจะหาผู้หญิงมาลงสมัครเลือกตั้งมากขึ้นแน่นอน
“แต่ที่ผ่านมา กกต. ซึ่งเป็นองค์กรเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ยังไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญเท่าที่ควร ยกตัวอย่างง่ายๆ แค่จัดทำข้อมูลแยกเพศผู้มีสิทธิและผู้มาใช้สิทธิ ยังต้องให้ทวงถาม ดังนั้น อาจต้องใช้ยาแรง ฟ้องร้อง กกต. เสียบ้าง”
ด้านนายอาธิศักดิ์ กล่าวว่า เข้าใจถึงความคาดหวังของทุกคนที่ต้องการให้มีองค์กรปฏิรูปการเมือง เป็นด่านสกัด กลั่นกรองนักการเมือง เพื่อให้เข้าสู่ตำแหน่งโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีความชัดเจนอย่างมากในการทำงานของ กกต. ชุดแรก ที่ถึงขั้นประกาศว่า จะไม่ยอมให้คนชั่วเหยียบบันไดสภา อีกทั้งมีการคัดสรรนักการเมืองหลายชั้น กระทั่งในช่วงนั้นบางจังหวัดมีการจัดการเลือกตั้งถึง 5 ครั้งกว่าจะได้ผู้แทนฯ ทั้งนี้ เป็นเพราะประเทศไทยยังใหม่กับระบบดังกล่าว
“ต่อมา เมื่อเข้าสู่การทำงานของ กกต. ชุด 2-3 สังเกตว่า ฝ่ายการเมืองเริ่มตั้งตัวติด มีการแก้ไขกฎหมาย เพื่อให้องค์กรรัฐใช้อำนาจอย่างจำกัด อีกทั้งเมื่อหลักของกฎหมายกำหนดไว้ว่า หากกฎหมายไม่ได้อำนาจองค์กรของรัฐจะกระทำไม่ได้ ทำให้ในส่วนใดก็ตามที่กฎหมายเขียนไม่ชัด หรือต้องใช้ดุยลพินิจมาก กกต. จึงไม่กล้าดำเนินการ เนื่องจากเกรงจะถูกกล่าวหาว่าใช้อำนาจโดยไม่ชอบ ยิ่งในสถานการณ์การเมืองปัจจุบัน พบว่า ไม่มีพรรคการเมืองไหน ไม่ด่า กกต. เนื่องจากการทำหน้าที่ของ กกต. ไม่อาจทำให้ทุกคนสมประโยชน์ อีกทั้งมีฝ่ายเสียประโยชน์เสมอจากการวินิจฉัยของ กกต.”
จากนั้นในช่วงแลกเปลี่ยนเสวนา นางเรวดี ประเสริฐเจริญสุข ประธานคณะกรรมการเครือข่ายพลังพลังสตรีเพื่อการปฏิรูป ในคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป ซึ่งมี ศ.นพ.ประเวศ วะสี เป็นประธาน กล่าวถึงกระบวนการเลือกตั้งและการขับเคลื่อนของพรรคการเมืองในขณะนี้ สะท้อนปฏิบัติการณ์ในหลายๆ กลไก ทั้งองค์กรอิสระ ภาครัฐ และระบบว่า ไม่ได้มีการยึดบรรทัดฐานตามรัฐธรรมนูญ
“ส่วนการตรากฎหมายลูก พบว่า มีขบวนการที่จะไม่ปฏิบัติหรือละเมิดรัฐธรรมนูญ อีกทั้งหลักประกันการเข้าถึงการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยเฉพาะผู้หญิงก็ถูกผูกขาดจากกลไกภาครัฐ หรือหน่วยงานที่ทำงานด้านกฎหมาย ในที่สุดสังคมไทยก็เหมือนกับ ‘แพะ’ ของขบวนการคิด การทำของกลุ่มคนที่กุมอำนาจ ฉะนั้น สถานการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนถึงโครงสร้างเก่า โครงสร้างอำนาจที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งกระจุกอยู่แค่คนบางกลุ่ม ดังนั้น ถึงเวลาที่ต้องปรับเปลี่ยน”
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงสุดท้ายของงานเสวนา นางเรวดี เป็นตัวแทนอ่านคำแถลงข่าวจุดยืน ‘พลังสตรีพลิกโฉมเลือกตั้ง 54’ ตอน หนึ่งว่า จากรายชื่อ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อและแบบแบ่งเขตที่เปิดเผยสู่สาธารณชนในขณะนี้ สะท้อนให้เห็นว่า ไม่ว่า กกต. หรือพรรคการเมืองก็ดี ไม่ได้ใส่ใจที่จะยึดหลักความเท่าเทียมตามรัฐธรรมนูญ ไม่มีการนำไปปฏิบัติ ซึ่งเห็นได้จากสัดส่วนตัวเลขของผู้สมัครที่ออกมา ภาพรวมพบว่า มีผู้สมัครเพศหญิงไม่เกินร้อยละ 15 ส่วนพรรคเล็กไม่มีเลย
“เครือข่ายผู้หญิงพลิกโฉมประเทศไทยและองค์กรเครือข่าย เห็นว่า เมื่อมีการละเมิดข้อบัญญัติอย่างชัดเจน ดังนั้น จึงต้องเดินหน้าสร้างบรรทัดฐานให้กับกลไกต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามกรอบรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ อาจมีการใช้วิธีฟ้องร้อง เป็นช่องทางในการเคลื่อนไหวอีกทางหนึ่ง”