“วิฑูรย์”ให้คะแนนนโยบายเกษตร 7 พรรคการเมือง สอบตกทุกพรรค
“วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ” ฉะนโยบายพรรคการเมืองไทย “ใช้เงินล่อคะแนนเกษตรกร” ให้คะแนน ปชป. – ชาติไทยนำ แต่ยังสอบตก แนะ 3 เพิ่มนโยบายสำคัญ ปฏิรูปที่ดิน – รับมือวิกฤติอาหารและพลังงาน – สร้างความเข้มแข็งภาคสังคม
นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี (ไบโอไทย) กล่าวกับศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฏิรูปประเทศไทย เกี่ยวกับนโยบายหาเสียงด้านการเกษตรของพรรคการเมือง ว่า หากมองภาพรวมพรรคการเมืองไทยส่วนใหญ่ยังใช้นโยบายเอาเงินมาเป็นเครื่องล่อ ให้ได้คะแนนเสียงจากเกษตรกร แต่ยังขาด 3 นโยบายสำคัญในปัจจุบัน ได้แก่ 1.การปรับโครงสร้างการจัดการทรัพยากร โดยเฉพาะการปฏิรูปที่ดินและจำกัดการถือครองที่ดินรายใหญ่ ทั้งที่หลายพรรคเคยเสนอว่าจะแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ 2.การรับมือกับวิกฤติอาหารและพลังงานในอนาคต เรื่องความมั่นคงด้านอาหารยังเป็นเรื่องที่ทุกพรรคมองข้าม 3.สังคมไทยใส่ใจและให้ความสำคัญกับเรื่องการเมืองมากเกินไป จนลืมสร้างความเข้มแข็งให้ภาคสังคมที่จะเท่าทันต่อวิกฤตการณ์ต่างๆ เช่น การเติบโตของบริษัทขนาดใหญ่ และการเปิดเสรีระหว่างประเทศ
ตรวจข้อสอบนโยบาย 7 พรรค
พรรคประชาธิปัตย์ ได้ 4 คะแนน จากจุดแข็งในนโยบายประกันรายได้ ที่ดีกว่านโยบายประกันราคาและนโยบายรับจำนำ ซึ่ง ที่ผ่านมาไปแทรกแซงตลาดและมีการคอรัปชั่น อีกทั้งเงินถึงมือเกษตรกรน้อย ทุกฝ่ายรวมทั้งชาวบ้านส่วนหนึ่งจึงสรุปตรงกันว่า ประกันรายได้ดีกว่า
แต่ที่สำคัญก็ยังเห็นว่าประกันรายได้ ที่ประชาธิปัตย์ทำก็ไม่ได้นำไปสู่การปรับโครงสร้างปัญหาที่แท้จริงของการเกษตร เพราะการประกันรายได้ที่สูง ในที่สุดแล้วก็เอาภาษีของชาวบ้านไปสนับสนุนโครงสร้างการผลิตที่มีปัญหาอยู่ ในปัจจุบัน ไม่นำไปสู่การลดต้นทุนการผลิตกับโครงสร้างอย่างที่ควรจะเป็น เงินที่เข้าสู่ระบบในที่สุดก็จะไหลไปหาพวกบริษัทปุ๋ย บริษัทเคมีการเกษตร ซึ่งเป็นบริษัทที่ตั้งโต๊ะลงทุนให้พรรคการเมือง
เรื่องโฉนดที่ดิน ที่วางนโยบายว่าจะทำ 250,000 รายถ้าได้เป็นรัฐบาล มีข้อน่าสงสัยอยู่ว่า ในช่วงที่เป็นรัฐบาลทำได้แค่ที่ "คลองโยง" อีกทั้งยังประสบปัญหามากมายและเป็นการผลักดันโดยชาวบ้านมากกว่า ประเด็นใหญ่คือ การทำโฉนดชุมชนโดยที่ดินของรัฐ นับว่าเป็นเรื่องดี แต่ในที่สุดแล้วก็ไม่แตะโครงสร้างการปกครองของกลุ่มทุนที่ดิน
“เรื่องที่นับว่าน่าสนใจ คือ เรื่องแหลงน้ำขนาดเล็ก ขนาดกลาง แต่ไม่เห็นว่าในช่วงที่เป็นรัฐบาลมีความพยายามจะขับเคลื่อนในเรื่องเหล่านี้ ส่วนเรื่องเขตเศรษฐกิจพิเศษเป็นเรื่องที่น่าตกใจ เพราะเป็นการเขียนที่ไม่มีการขยายความ ในที่สุดแล้วจะกลายเป็นเขตการลงทุนสำหรับบริษัทขนาดใหญ่”
พรรคเพื่อไทย ได้ 3.5 คะแนน แต่หากมองในภาพรวมดูแย่กว่าประชาธิปัตย์ ยิ่งถ้าเทียบกับยุคคุณทักษิณ เหมือนเป็นประชานิยมยกกำลังสอง เพราะการไม่ได้ระบุถึงการจัดการเรื่องงบประมาณ ทั้งนี้การที่พรรคเพื่อไทยมีคนเสื้อแดงเข้าไปอยู่ในพรรคแต่ไม่ได้ทำให้เห็น ว่าจะมีการแก้ไขปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำหรือความแตกต่างของชนชั้นเข้าไป อยู่ในนโยบาย เหมือนเป็นเรื่องการเมืองล้วนๆ
สำหรับนโยบายบัตรเครดิตชาวนา เห็นว่า จะซ้ำเติมปัญหาหนี้สินของชาวนาเพิ่มขึ้นไปอีก ยิ่งเจตนาในการใช้บัตรเป็นไปเพื่อการซื้อปุ๋ยและสารเคมี ก็ชัดเจนว่า การให้เงินกู้ง่ายๆ เงินที่ได้จากการกู้นั้นก็จะไปสู่บริษัทปุ๋ยและสารเคมี ไม่ได้ทำให้เกิดการลดต้นทุน หรือการเพิ่มประสิทธิภาพอะไรเลย การเข้าถึงเงินทุนเป็นเรื่องรอง หัวใจสำคัญของปัญหาด้านการเกษตร ของชนบทยังไม่ถูกเสนอออกมา การตั้งกระบวนการหรือปรับโครงสร้างในการผลิตยังไม่เห็นมีข้อเสนอหรือนโยบาย ออกมาเลย
“สำหรับเรื่องการรับจำนำข้าวเปลือก นับว่าแย่กว่าประชาธิปัตย์ เพราะเรื่องการรับจำนำมันเป็นการทำลายโครงสร้างการตลาดที่มีอยู่เดิม ในที่สุดแล้วข้าวจะไปกองอยู่กับรัฐเหมือนที่ผ่านมา เกิดการ "กด" ราคาข้าวในระดับโลกต่ำกว่าที่ควรจะเป็น และนโยบายในลักษณะนี้จะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการคลังในระยะยาว เปรียบเหมือนการควักกระเป๋าซ้ายมาไว้กระเป๋าขวา เพราะเม็ดเงินที่นำมาใช้ก็คือเงินภาษีของชาวบ้าน”
ในเรื่องการผันน้ำจากประเทศเพื่อนบ้าน แสดงถึงความอับจนของการแก้ปัญหาชลประทาน เช่นเดียวกับโครงการที่สร้างเขื่อนกั้นน้ำให้กรุงเทพฯ ที่สุดท้ายแล้วไม่ได้ตอบโจทย์การแก้ปัญหาน้ำท่วมขังอย่างยั่งยืนในบริเวณ จังหวัดภาคกลางตอนบนได้อย่างไร เป็นการมองแบบนโยบายหาเสียงมากกว่า
แต่ขอชมในเรื่องการเพิ่มเงิน 25% ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อย่างน้อยที่สุดก็เป็นรูปธรรมในการกระจายทรัพยากรไปสู่ท้องถิ่น ส่วนโครงการพักหนี้ก็เป็นโครงการเพื่อหาเสียง ประเด็นหลักไมได้อยู่ที่การพักหนี้เพียงอย่างเดียว
พรรคภูมิใจไทย ได้ 3.5 คะแนน ข้อเด่น คือเรื่องนโยบายชลประทาน เน้นการทำชลประทานขนาดเล็ก ไม่ต้องสร้างเขื่อนสร้างฝาย นับว่าเป็นนโยบายที่ดีและน่าสนใจ แต่ข้อสังเกตอยู่ที่ว่า ในช่วงที่พรรคนี้เป็นรัฐมนตรีช่วยหลายกระทรวง แต่ไม่เคยเห็นมีการขับเคลื่อนในเรื่องนี้ ไปมุ่งเน้นเรื่องรถไฟฟ้า หรือโครงการใหญ่ๆ มากกว่า ส่วนเรื่องปลูกยางไม่จำเป็นต้องส่งเสริม เพราะต้องทบทวนด้วยว่ามาตรการส่งเสริมที่ผ่านทำให้เกิดปัญหาค่อนข้างมาก เช่น เรื่องกล้ายาง
การส่งเสริมการปลูกยาง ต้องเตือนให้ชาวบ้านรับมือกับการผันผวนทางราคา รวมทั้งสภาพเศรษฐกิจด้วย แต่ถ้าส่งเสริมเป็นสวนยางทั้งหมด ความมั่นคงด้านอาหารจะลดลง ชาวบ้านก็จะลำบาก ซึ่งเป็นเรื่องที่พรรคการเมืองไม่นำเสนอ ส่วนเรื่องประกันรายได้ ที่เสนอประกันราคาข้าวเปลือกตันละสองหมื่น เป็นเรื่องที่จะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน เพราะยิ่งเพิ่มเงินเข้าไปมาก ยิ่งจะต้องหาเงินเข้ามาเพิ่ม และการเสนอแบบนี้ไม่ได้ปรับโครงสร้างการผลิตทางการเกษตรเลย การจัดหาที่ดินทำกินให้เกษตรกร ก็ยังไม่มีข้อเสนอว่าจะจัดการอย่างไร
พรรคกิจสังคม ไม่มีคะแนน เนื่องจากนโยบาย ชลประทานระบบท่อ เป็นโครงการ "ขายฝัน" ที่ใช้งบประมาณมหาศาล เป็นโครงการที่รวมศูนย์และเมื่อพูดคุยกับผู้ประเมินจากโครงการนำร่องแล้วพบ ว่า ไร้ประสิทธิภาพ มีทั้งท่อแตก ท่อตัน น้ำไม่พอ ขาดการดูแล ฉะนั้น หากทำเป็นโครงการใหญ่จะต้องสิ้นเปลืองงบประมาณอีกมาก นับว่าเป็นโครงการที่ไม่น่าสนับสนุนมากที่สุด หากเทียบกับทุกโครงการของทุกพรรค
สิ่งที่ควรทำเมื่อสอบถามจากชาวบ้านพบว่า ควรทำชลประทานน้ำหยดในครอบครัว ให้อำนาจครอบครัวหรือชุมชนเป็นคนจัดการ แต่พรรคการเมืองมักไม่ชอบโครงการเล็กๆ ในลักษณะนี้
พรรคชาติไทย ได้ 4 คะแนน เนื่องจากยังมีนโยบายลอยๆ มีที่น่าสนใจ คือ นโยบายการเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่ที่ผ่านมาพรรคนี้มีรัฐมนตรีด้านการเกษตรอยู่ในพรรคมา 2 ปีกว่า แต่ไม่เห็นวี่แววเกี่ยวกับนโยบายเรื่องนี้เลย สำหรับเรื่องสภา เกษตรกร ที่ถือเป็นผลงานของพรรค เท่าที่ประเมินกับชาวบ้านในปัจจุบันคนที่ผ่านการคัดเลือกเข้ามา ล้วนไม่ใช่เกษตรกรตัวจริง เป็นเครือข่ายของพรรคการเมือง นักการเมือง เหมือนการเล่นเกมอำนาจบางอย่างในองค์กรทางนโยบาย ไม่มีใครคาดหวังว่าจะทำหน้าที่สร้างความเปลี่ยนแปลงในเรื่องนโยบาย ตอบสนองต่อเกษตรกรส่วนใหญ่ได้ ฉะนั้น ในเรื่องของสภาเกษตรกร แม้จะเป็นผลงาน แต่ก็ยังไม่ได้พิสูจน์อะไร
พรรครักษ์สันติ ไม่ขอให้คะแนน เพราะมีนโยบายด้านการเกษตรน้อยมาก มีข้อที่น่าสนใจ คือ นโยบายที่จะตั้งข้อจำกัดการลงทุนทางการเกษตรของต่างชาติ เพื่อประโยชน์ของเกษตรกรไทย แต่หากมองในมุมกลับก็ยังไม่สนใจการที่จะจำกัดทุนไทยยักษ์ใหญ่ทั้งหลายที่ไป กวาดซื้อที่ดิน ในความจริงทุนไทย ใหญ่กว่าทุนต่างชาติกำลังกลืนที่ชาวบ้านไปเรื่อยๆ สำหรับเรื่อง "โซนนิ่ง" ก็มีการพูดกันแบบรวมศูนย์ หากจะทำเรื่องโซนนิ่ง ต้องให้ชาวบ้านมีส่วนร่วมในการทำด้วย จะเป็นประโยชน์มากกว่า แต่ยังไม่เห็นกระบวนการ เพราะเป็นการมองแบบรวมศูนย์
พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน ไม่มีคะแนน เนื่องจากโครงการประกันราคาและโครงการรับจำนำต่างๆ ที่มีอยู่ในพรรคนี้ เคยมีปัญหา ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงที่สุด การเปิดให้รับจำนำ เหมือนเป็นการเปิดช่องให้เกิดการคอรัปชั่น สำหรับเรื่องการพัก ลด ปลดหนี้และการประกันภัยพืชผลสำหรับผู้ได้รับผลกระทบภัยพิบัติ มองว่า เป็นเรื่องใหญ่ของทุกพรรคที่จะต้องให้ความสำคัญ ปัญหามีอยู่ว่า ภัย พิบัติหลายอย่างมีการป้องกันและจัดการได้ แต่แทบไม่เห็นทุกพรรคการเมืองพูดถึงการปรับตัว เพื่อร่วมกับภัยพิบัติหรือลดผลกระทบจากภัยพิบัติ ทั้งที่ใช้เงินน้อยกว่าการมาแก้ปัญหาปลายเหตุ ที่ต้องใช้เงินจำนวนมาก