โชคชัย วงษ์ตานี: การเอารอมฎอนเป็นตัวประกัน และอีกครั้งกับ 5 ข้อบีอาร์เอ็น
โชคชัย วงษ์ตานี อาจารย์ประจำสถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ (ม.อ.หาดใหญ่) ผู้เชี่ยวชาญด้านกระบวนการสันติภาพและประวัติศาสตร์ "ปาตานี" ให้สัมภาษณ์แบบยาวๆ กับ "ทีมข่าวอิศรา" เกี่ยวกับประเด็นร้อนที่ชายแดนใต้ โดยเฉพาะหลากหลายคำถามเรื่องการพูดคุยสันติภาพ และข้อเรียกร้องที่ยอมรับได้ยากของกลุ่มบีอาร์เอ็น
ทัศนะของ อาจารย์โชคชัย นับว่าคมคาย ท้าทาย และน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะแง่คิดในมิติประวัติศาสตร์และศาสนาอันลึกซึ้งที่แทรกอยู่ระหว่างช่องไฟของการสนทนา กับการมองปัญหาแบบจับต้องได้โดยมีสันติภาพอยู่ปลายทางอย่างแท้จริง...
O การลดเหตุรุนแรงช่วงรอมฎอนตามข้อตกลงจากโต๊ะพูดคุยสันติภาพรอบที่ 3 ทางบีอาร์เอ็นและรัฐบาลไทยจะคุมสถานการณ์ได้จริงหรือไม่?
ผมมองว่าเรื่องนี้เป็นการเอาเดือนรอมฎอนเป็นตัวประกัน ในมุมมองด้านสันติภาพ รอมฎอนเป็นเดือนพิเศษ แต่ไม่ได้หมายความว่าก่อนหรือหลังรอมฎอนจะฆ่ากันหรือใช้ความรุนแรงต่อกันได้เป็นปกติ เพราะทุกๆ วันก็มีความสำคัญ สิ่งนี้คือวาทกรรมสร้างความหวังที่ทั้งฝ่ายรัฐและขบวนการสร้างขึ้นแก่คนในพื้นที่ การเอาเดือนนี้มาเป็นเงื่อนไขในการสร้างสันติสุข นับเป็นความชาญฉลาดในการนำห้วงเวลาที่เกี่ยวกับศาสนกิจสำคัญในรอบปีมาลดและแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางสังคม นับเป็นการแสวงหากติกาใหม่ของคู่ขัดแย้งซ้อนทับไปในวิถีปฏิบัติทางศาสนาที่ต้องทำอยู่แล้วโดยศรัทธาชน
จริงๆ แล้วหากทำตามหลักการศาสนาจริง สันติสุขย่อมเป็นสิ่งที่ได้มาโดยปกติ ความสำคัญและความจำเริญของเดือนนี้ไม่ได้ถูกลดค่าลงแต่อย่างใดแม้จะเกิดความรุนแรงขึ้นก็ตาม ขึ้นอยู่กับศาสนิกจะใช้ห้วงเวลาในช่วงนี้เพื่อขัดเกลาตนเองได้มากน้อยแค่ไหน
ถามว่าบีอาร์เอ็นคุมเหตุการณ์ทั้งหมดได้หรือไม่ ผมเชื่อว่าบีอาร์เอ็นเป็นแค่ส่วนหนึ่งของกลุ่มที่มีความเคลื่อนไหวต่อสู้กับรัฐในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังมีอีกหลายกลุ่มที่ไม่ได้ถูกเชื่อมโยงหรือเห็นด้วยกับบีอาร์เอ็นทั้งหมด เรื่องเอกภาพของฝ่ายต่อสู้กับรัฐก็เป็นปัญหาสำคัญเช่นเดียวกันกับเอกภาพของฝ่ายรัฐบาลที่ยังเป็นข้อสงสัย ไม่ว่าจะเป็นภายในกองทัพ ฝ่ายค้าน หรือรัฐบาลเอง คณะกรรมการที่ตั้งขึ้นในการพูดคุยสันติภาพมีความคิดไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่ เอาเข้าจริงแล้วอำนาจเด็ดขาดในการตัดสินใจก็ไม่ได้อยู่ที่ผู้พูดคุยเจรจาทั้งหมด ทั้ง 2 ฝ่ายต่างมีผู้นำที่อยู่เบื้องหลังที่มีอำนาจเต็มในการที่จะสั่งการได้ชัดว่าควรจะเห็นร่วมในประเด็นไหน และเห็นต่างในประเด็นใดซึ่ง ท่านฮัสซัน ตอยิบ ก็ออกมายอมรับว่ากระบวนการสันติภาพนี้ต้องใช้เวลา
หากพิเคราะห์ตามหลักการจริงๆ จะพบว่า อิสลามมิได้ห้ามการทำสงครามในเดือนรอมฎอน เพราะโดยหลักการจริงๆ เดือนที่ต้องห้ามในการทำสงครามในอิสลามมี 4 เดือน ได้แก่ มุฮัรรอม หรือเดือนที่ 1 เราะญับ หรือเดือนที่ 7 ซุลเกาะดะฮฺ หรือเดือนที่ 11 ซุลฮิจญะฮฺ หรือเดือนที่ 12 (ดูอัลกุรอาน บท อัตเตาบะฮฺ วรรคที่ 36) จุดประสงค์คือเพื่อให้กองทัพและนักรบในสงครามทั้งหลายมีเวลาพอที่จะคิดใคร่ครวญเพื่อเชิญชวนประชาชนไปสู่ความสันติและความสงบสุข นอกจากนั้นยังเพื่อแสวงหาความเป็นไปได้ที่จะประกอบพิธีฮัจญ์ การทำการค้าขายและอื่นๆ
แต่กรณีจังหวัดชายแดนภาคใต้ การหยุดการก่อเหตุในเดือนรอมฏอนมีความเป็นไปได้ยากหากไม่มีมาตรการควบคุมกองกำลังทั้งสองฝ่าย ไม่มีการกำหนดนโยบายควบคุมยุทธวิธี ไม่มีมาตรการควบคุมอาวุธ อีกทั้งการหยุดการก่อเหตุในเดือนรอมฎอนเป็นเพียงการเสนอและรอการร่วมตอบสนองของทั้งสองฝ่ายของคู่ขัดแย้ง แต่ที่ยากยิ่งคือ เมื่อต้องลงรายละเอียดที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลง จะมีรายละเอียดปลีกย่อยซึ่งท้าทายที่ทั้งสองฝ่ายจะยอมผ่อนปรนในรายละเอียดที่ร้องขอต่อกันหรือไม่
O ขณะนี้มีหลายคนหลายองค์กรที่สนับสนุนกระบวนการสันติภาพ แต่แสดงท่าทีไม่รับฟังความเห็นที่แตกต่างต่าง ใครเห็นต่างจะถูกโจมตี กลายเป็นพวกขัดขวางสันติภาพไป อาจารย์มองอย่างไร?
กระแสคนค้านกระบวนการสันติภาพซึ่งถูกมองว่าเป็นแกะดำนั้น นับว่าเป็นเรื่องปกติ ท่านฮัสซัน ตอยิบ ได้พูดในการสัมภาษณ์ผ่านทางวิทยุ (ร่วมด้วยช่วยกัน หรือ Media Selatan เมื่อ 18 มิ.ย.2556) ไว้อย่างน่าสนใจว่า อย่าเพิ่งมองแค่เฉพาะคนในพื้นที่ ปัญหาความเห็นต่างเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ อย่าเพิ่งมองว่าสันติภาพเกิดขึ้นได้เพียงเพราะการเจรจาเท่านั้น แม้แต่ในฝ่ายของกองทัพไทยยังมีทหารตั้ง 3 แบบ ทั้งเห็นด้วย ไม่เห็นด้วย และที่เฉยๆ นิ่งๆ อยู่ ฮัสซัน ตอยิบ ให้สัมภาษณ์คาดหวังว่า ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยจะถูกผลักดันเข้าสู่กระบวนการสันติภาพที่ทั้งสองฝ่ายพยายามทำให้มีขึ้น
กลับกันของคนในพื้นที่ กระบวนการสันติภาพที่เกิดขึ้นก็มีคน 3 แบบเช่นเดียวกัน คือ 1.มีความหวัง 2.ตั้งคำถาม และ 3.ไม่มีความหวังและไม่ตั้งคำถาม ประเด็นก็คือการมีคนเห็นต่างเป็นเรื่องปกติ และเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำไป ในสังคมประชาธิปไตยนับเป็นเรื่องดี เป็นสิทธิ์ที่จะเห็นต่าง เห็นด้วย หรือเฉยไว้ก่อน โดยไม่จำเป็นต้องถูกบังคับให้เห็นด้วยไปทุกอย่าง กระบวนการสันติภาพจะต้องประคับประคอง 3 ส่วนนี้ไว้ ไม่จำเป็นที่จะต้องให้ทุกคนเห็นเหมือนกันหมด หรือก้าวไปอยู่ในวงเจรจาพูดคุยสันติภาพทั้งหมด ฝ่ายที่เห็นต่างควรรักษาไว้เพื่อเป็นกระจกสะท้อน ส่วนฝ่ายที่นิ่งเฉยเขาอาจเห็นด้วยหรือเห็นต่างเพิ่มขึ้นก็เป็นได้ในอนาคต ความคิดเห็นของทุกฝ่ายเติบโตและปรับเปลี่ยนได้ตลอด กระบวนการสันติภาพจึงต้องอาศัยระยะเวลาและความอดทน
บางครั้งฝ่ายที่ 3 ไม่เพียงเข้าข้างรัฐหรือฝ่ายขบวนการ ถือเป็นกลุ่มสะท้อนที่ดี มีการตั้งคำถามกับทั้งสองฝ่าย เพราะเมื่อใดก็ตามที่เราเห็นหรือเข้าข้างหนึ่งข้างใดของความขัดแย้งแล้ว เราจะเห็นภาพและรับรู้เหตุผลเพียงด้านเดียวโดยที่ไม่เข้าใจความจริงและเหตุผลของอีกฝ่าย ฉะนั้นใครที่รับสื่อข้างเดียวและไม่มีตัวกรองข้อมูลข่าวสารที่ได้รับ เขาก็จะตกอยู่ในภาษาและกระบวนคิดของกลุ่มหนึ่งฝ่ายเดียว ทำให้ขาดโอกาสที่จะเรียนรู้ที่จะเข้าใจเหตุผลของฝ่ายตรงข้าม
ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการเห็นต่างในกระบวนการสันติภาพ อาจเป็นได้เพราะความเข้าใจและความคาดหวังต่อรูปแบบ หน้าตา และเนื้อหาของคำว่าสันติภาพที่แตกต่างกัน ความหมายของสันติภาพมีได้หลายความหมาย ขึ้นอยู่กับระดับฐานความรู้ ความเข้าใจ การตีความและความเชื่อศรัทธาของแต่ละบุคคลและแต่ละกลุ่ม การมีความหวังกับการพูดคุยสันติภาพระหว่างทางการกับขบวนการบีอาร์เอ็นดูเป็นทางออกที่ดี ดีกว่าที่ผ่านมาที่ไม่มีการพูดคุย และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครคือคู่ขัดแย้ง แม้ผลจากการพูดคุยอาจจะไม่บรรลุเป้าหมายที่ก่อให้เกิดสันติภาพได้โดยง่ายทั่วทั้งหมด แต่ก็เป็นจังหวะก้าวย่างที่สำคัญที่ทดสอบความจริงจังของคู่ขัดแย้งเพื่อการคลี่คลายและริเริ่มสถาปนาสภาวะแห่งความปกติสุขให้ก่อเกิดแก่คนในพื้นที่
ประเด็นสำคัญก็คือสิทธิในการที่จะเห็นต่างต่อกระบวนการสันติภาพต้องยังคงอยู่ไว้ แต่ก็ต้องไม่ใช้วิธีการที่ค้านไปเสียทุกเรื่อง ฉะนั้นใครเชื่อมั่นต่อกระบวนการสันติภาพก็คงต้องเคารพต่อความเห็นของคนที่คลางแคลง คนที่ตั้งคำถาม หรือไม่ได้ก้าวย่างตามแบบที่รัฐและฝ่ายขบวนการที่เห็นต่างคอยกวักมือให้ต่อแถวร่วมเห็นด้วยกับฝ่ายตน
O เราควรมองและมีฐานคิดต่อปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างไร?
สิ่งที่ต้องตระหนักคือโปรดอย่ามองปัญหาเป็นส่วนๆ ทั้งเรื่องข้อเรียกร้อง กลุ่มขบวนการ การเจรจาสันติภาพ การเคลื่อนไหวของภาคประชาสังคม การปราบปรามน้ำมันเถื่อน ของหนีภาษีและยาเสพติด การปิดล้อมจับกุม หรือแม้กระทั่งการระเบิดปืนใหญ่จำลอง ทั้งหมดเป็นเรื่องเดียวกัน การไล่ล่าของเจ้าหน้าที่รัฐ การลอบทำร้ายประชาชนและทหารในพื้นที่โดยผู้ก่อการล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่เชื่อมโยงกันและส่งผลต่อกันและกัน ฉะนั้นการมองภาพรวมของปัญหาคือสิ่งสำคัญ
แต่อย่างไรก็ตามการแก้ไขก็ควรจำแนกตามประเด็นปัญหา ไม่ควรเหมารวมว่าทั้งหมดเป็นฝีมือจากผู้ก่อการ ในแง่นี้คงต้องมีความหวังในการแก้ไขเท่าๆ กับการไม่ประมาทต่อสิ่งที่ทั้งฝ่ายรัฐ ฝ่ายขบวนการ และบุคคลบางฝ่ายได้ก่อขึ้น
ทางหนึ่งเราจึงต้องพิจารณาบนฐานคิดที่เป็นธรรม เคารพความแตกต่างของแต่ละฝ่าย ซึ่งจะทำให้คนในพื้นที่ได้เรียนรู้เหตุผลในแง่ของรัฐที่ต้องการปกครองในแบบที่ส่วนกลางยังเป็นผู้กุมงบประมาณและทิศทางของกองทัพ ต้องเข้าใจความสันติสุขในความหมายของคนในพื้นที่ และเข้าใจเหตุผลในการต่อสู้ต่อสิ่งที่เขามองว่ารัฐยังไม่สามารถให้ความเป็นธรรมต่อชาวบ้านชายขอบหรือขบวนการที่มีอุดมการณ์ชี้นำ
O ไปที่ข้อเรียกร้องของบีอาร์เอ็นบ้าง โดยเฉพาะข้อเรียกร้องแรก 5 ข้อที่จนถึงขณะนี้ก็ยังมีคำถามจากทางฝ่ายรัฐบาลไทยว่าหมายถึงอะไรแน่ และที่ผ่านมามีการแปลข้อเรียกร้องโดยนักวิชาการ 2 ท่าน แล้วก็แปลต่างกันด้วย อาจารย์มีความเห็นต่อเรื่องนี้อย่างไร?
โดยหลักการการแปลมีการเลือก การเทียบคำ เลือกระดับของภาษา มีเทคนิคและกลวิธีมากมายให้เลือกใช้ แต่สิ่งสำคัญคือเวลาเราจะแปลข้อเรียกร้องทางการเมืองหรือข้อต่อรองอันเนื่องมาจากความขัดแย้ง ในทางวิชาการมีทั้งการแปลที่เรียกว่า wording translate คือแปลตามตัว ดูเป็นคำๆ กับ Meaning translate คือแปลโดยเน้นเอาความ เนื้อหาและนัยยะ การแปลข้อเรียกร้องต้องดูที่ความหมายมากกว่าดูแค่ที่คำ ซึ่งหากละเลยหรือไม่ดูความเชื่อมโยงกับสถานะ บริบท ความคิด และความเป็นฝักฝ่ายของผู้ร้อง จะไม่เข้าใจความต้องการของฝ่ายตรงข้ามอย่างแท้จริง ฉะนั้นการแปลจึงไม่ใช่ดูแค่เฉพาะความหมายของคำ แต่ต้องดูนัยยะ เนื้อหาสาระ และนัยยะแฝงที่อยู่ในคำเหล่านั้นด้วย
อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตว่าอาจารย์ทั้ง 2 ท่าน (ศาสตราจารย์ รัตติยา สาและ กับ อาจารย์ชินทาโร่ ฮาร่า) มีตำแหน่งทางวิชาการต่างกัน ระหว่างศาตราจารย์กับอาจารย์ธรรมดา ชาติกำเนิดและภาษาแม่ที่แตกต่างกัน ท่านแรกเป็นสตรีมลายูปัตตานี แต่ทำงานที่สงขลา (มหาวิทยาลัยทักษิณ) ส่วนอีกท่านเป็นชาวญี่ปุ่น เรียนในมาเลเซียและสอนหนังสือที่ปัตตานี (มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี) และแปลในบริบทที่แตกต่างกัน คือคนหลังแปลก่อน ขณะที่คนแรกแปลหลังจากฝ่ายหลังแปลแล้ว แต่ทั้งสองสอนภาษามลายูในระดับมหาวิทยาลัยเหมือนกัน
หากสำรวจผลการเผยแพร่พบว่าการแปลของอาจารย์ชินทาโร่ในเว็บไซต์ มีคนเข้าไปอ่านมากกว่า 3 พันครั้ง และถูกอ้างอิงไปเผยแพร่ทางข่าวโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์บางฉบับ ขณะที่สำนวนของอาจารย์รัตติยา แปลแล้วตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์เช่นกัน พร้อมทั้งได้รับการขยายความต่อ ทั้งสองสำนวนแปลย่อมส่งผลต่อผู้อ่านได้มากน้อยไม่แตกต่างกัน หากกลับไปพิจารณาคลิปในยูทูบ พบว่าข้อเรียกร้องครั้งแรกทั้ง 5 ข้อ มีจำนวนคนเข้าไปดูมากกว่า 3,100 ครั้ง นับว่าได้รับความสนใจเป็นจำนวนมาก
จากประสบการณ์การศึกษาถอดรื้อข้อเรียกร้องหะยีสุหลง (อดีตผู้นำทางจิตวิญญาณของคนมลายูปัตตานี บิดาของ นายเด่น โต๊ะมีนา อดีต ส.ส.และสมาชิกวุฒิสภาปัตตานี) ในอดีต แล้วนำมาพิเคราะห์ข้อเรียกร้องของบีอาร์เอ็นในปัจจุบัน พบว่าปัญหาการแปลข้อเรียกร้องทั้งหลายแปลไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของฝ่ายผู้ร้อง และเมื่อแปลเป็นภาษาไทยแล้วมักมีความหมายหรือนัยยะที่ตกหล่น
ต้องเข้าใจก่อนว่าเป็นข้อเรียกร้องจากกลุ่มคนที่มีความขัดแย้งทั้งทางด้านวิธีคิดและอุดมการณ์ทางการเมือง ฉะนั้นการชวนทะเลาะในเนื้อหาของข้อเรียกร้องต่อความรู้สึกของผู้รับสารย่อมเป็นเรื่องปกติ ตั้งแต่การใช้คำ การกล่าวหาฝ่ายตรงข้าม บางฝ่ายอาจรับได้ บางฝ่ายอาจรับไม่ได้ มองว่าเป็นการลบหลู่ บางฝ่ายอาจมองว่าฝ่ายตนถูกให้ร้าย ตรงนี้ต้องทำให้เห็นก่อนว่าข้อเรียกร้องและการใช้คำเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ ไม่ได้หมายความว่าเรื่องที่ทะเลาะกันแล้วและต้องการกลับมาคืนดีกันจะทำให้ไม่สามารถพูดความจริงตามความคิดและมุมมองของฝ่ายตนได้
ประเด็นสำคัญก็คือ เมื่อเป็นข้อเรียกร้องทางการเมืองที่ต้องทำงานกับความคิดของรัฐบาล คู่ขัดแย้ง และสร้างกระแสแก่มวลชนแล้วนำมาเปิดเผยสู่สาธารณะ ย่อมเกิดผลต่อผู้รับสื่อ การตีความและการทำความเข้าใจต่อข้อเรียกร้องในแง่มุมที่แตกต่างกันจึงเป็นสิ่งจำเป็น
นักวิชาการระดับโลกอย่าง Jacques Derrida (1930 - 2004) ปรมาจารย์ด้านสัญญะวิทยาชาวฝรั่งเศส เจ้าของงานเขียนชิ้นสำคัญ Afterword: Toward An Ethic of Discussion (1988) และเจ้าของทฤษฎีการรื้อสร้าง "deconstruction" ให้แนวคิดที่ว่า "น้อยครั้งที่ภาษาจะมีความหมายตามที่ตาเห็น เพราะข้อความต่างๆ ย่อมเต็มไปด้วยความหมายแฝง อคติ และความขัดแย้ง วิธีการรื้อสร้างจึงเป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการค้นพบความหมายใหม่ๆ ในข้อความและคำกล่าวอ้างเก่าๆ"
การที่หนังสือพิมพ์กระแสหลักฉบับหนึ่งใช้หัวข้อ "คำต่อคำแถลงบีอาร์เอ็น ฉบับแปลถูกต้องสมบูรณ์" ในการเผยแพร่คำแปลของอาจารย์รัตติยา คำว่าฉบับถูกต้องสมบูรณ์จึงเป็นปัญหา ถ้าเราอ่านสำนวนการแปลจากทั้งสองท่าน จะพบว่าการแปลของอาจารย์ทั้งสองล้วนมีจุดอ่อนและจุดแข็งที่แตกต่างกัน ประเด็นคือท่ามกลางความขัดแย้งที่ทะเลาะกันถึงตาย การแปลที่ทำให้เข้าใจการทะเลาะกันเป็นสิ่งจำเป็น เพราะถ้าไม่แปลเช่นนั้นแล้วจะรู้ได้ว่าอย่างไรว่าที่ผ่านมาทะเลาะกันด้วยเรื่องอะไร สาเหตุอะไร
O อาจารย์ทั้ง 2 ท่านแปลคำว่า Penjajah Siam ต่างกัน เราควรใช้คำแปลไหนถึงจะเหมาะสม ถูกต้อง?
สังคมโดยทั่วไปมองว่าการที่อาจารย์ชินทาโร่แปลคำว่า Penjajah Siam โดยใช้คำว่า "นักล่าอาณานิคมสยาม" ถือว่าอันตรายสำหรับคนนอกพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมถึงคนที่ไม่มีฐานคิดประวัติศาสตร์ปาตานี ซึ่งหากจะเลือกคำที่สุภาพกว่าน่าจะใช้คำว่า "เจ้าอาณานิคมสยาม" ก็ได้ ซึ่งโดยเนื้อพยายามที่จะต้องสื่อว่า ปาตานีถูกทำให้เป็นอาณานิคมโดยสยาม คำว่า "นักล่าอาณานิคม" หมายถึง ผู้ที่ทำเป็นประจำ ทำหลายๆ ครั้ง เชี่ยวชาญ การใช้คำว่า "นักล่า" ทำให้เกิดผลสะเทือน ซึ่งก็เป็นวิธีการเลือกคำของของอาจารย์ชินทาโร่ที่ดูจะเข้าข้างความรู้สึกของฝ่ายนิยมบีอาร์เอ็น และเป็นที่ถูกอกถูกใจคนในพื้นที่บางส่วน
ขณะที่อาจารย์รัตติยาแปลว่า "ผู้ครอบครอง" หรือ "การครอบครอง" ถูกมองว่าเป็นการใช้ภาษาทางการทูต แปลเข้าข้างรัฐ ทำให้มองไม่เห็นมิติของความขัดแย้งและดูจะก็เป็นการบิดเบือนความหมายที่ทางบีอาร์เอ็นพยายามจะนำเสนอ เนื้อหาถูกลดทอนสาระไป เพราะว่าในการต่อรองและการพูดคุยสันติภาพ ข้อเรียกร้องที่ต้องการการแก้ไขที่ตรงจุดจะต้องพูดความจริงที่มาจากทั้งเหตุผลและความรู้สึก ปัญหาในประเด็นความขัดแย้งมันถึงจะแก้ได้ตรงจุด ตรงความเข้าใจของแต่ละฝ่าย
ส่วนคำว่า Penjajahan ถ้าแปลแบบตรงๆ ไม่ดูบริบทอาจหมายถึง การยึดครอง การกดขี่ หรือทำให้ตกเป็นอาณานิคม ซึ่งจริงๆ แล้วควรดูบริบทและเนื้อหาในประโยค ถ้าแปลคำว่า Penjajahan เป็นคำกิริยาในบริบททั่วไปต้องแปลว่า "ถูกทำให้เป็นอาณานิคม" หากต้องแปลในกรณีของปาตานี คือ "ผู้ถูกทำให้เป็นอาณานิคม" คือ ทำให้ปาตานีอยู่ภายใต้การปกครองของสยาม แต่จะใช้คำใด จะใช้คำว่า "นักล่า" หมายถึงว่าไทยเชี่ยวชาญและทำกับที่อื่นๆ อีกด้วย ซึ่งในความเชื่อของชาวมลายูปาตานีก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ทั้งล้านช้าง ล้านนา และปัตตานีก็ถูกสยามตีแล้วรวบรวมเป็นส่วนหนึ่งของไทยในปัจจุบัน แต่ประเด็นสำคัญคือ ในกรณีนี้บีอาร์เอ็นต้องการจะสื่อกับทางการไทยให้เห็นว่า ที่มาในทางประวัติศาสตร์เป็นประเด็นการต่อสู้ที่มีน้ำหนัก
หากเราลงลึกในรายละเอียด สำนวนแปลที่บอกว่าเป็นคำแปลที่ถูกต้องสมบูรณ์ เอาเข้าจริงแล้วจะพบว่าหลายส่วนของอาจารย์รัตติยาเองก็แปลไม่ตรงกับทางที่บีอาร์เอ็นพยายามจะสื่อถึงนัก ส่วนของอาจารย์ชินทาโร่ก็ประดิษฐ์สร้างคำที่สังคมไทยต้องตกใจ
คำว่า "ปึนญายะฮ" Penjajah Siam เจ้าอาณานิคมสยาม ระหว่างบีอาร์เอ็นกับรัฐไทย ทั้งสองฝ่ายอยู่ตรงกันข้ามของต้นทางและปลายทางของข้อเรียกร้อง ฝ่ายของบีอาร์เอ็นอาจเรียกสิ่งที่เสนอนั้นว่า "ข้อเรียกร้อง" แต่ในฝ่ายรัฐไทยอาจจะแปลความได้ว่าเป็น "คำร้องขอ" เพราะอำนาจเหนือดินแดนในปัจจุบันเป็นของรัฐไทย แม้เป็นข้อเรียกร้องเดียวกัน หากมองในมุมของคู่ขัดแย้งทั้งฝ่ายเสนอและฝ่ายสนองหรือไม่สนองย่อมถือสิทธิ์ที่แตกต่างกัน
ที่น่าสนใจคือชื่อเรียกและคำลงท้ายของอาจารย์ทั้งสอง เช่น สำนวนแปลของชินทาโร่ ตั้งชื่อว่า "บทแปลคำแถลงการณ์ของ 'บีอาร์เอ็น' (ฉบับชั่วคราว)" แสดงถึงความถ่อมตน โดยทิ้งท้ายว่าเป็นคำแปลฉบับชั่วคราว ส่วนของอาจารย์รัตติยาตั้งชื่อด้วยความเชื่อมั่นว่า คำต่อคำแถลงบีอาร์เอ็น ฉบับแปลถูกต้อง-สมบูรณ์ แน่นอนสำนวนแรกตั้งชื่อในแบบปลอดภัยกว่า และเปิดโอกาสให้มีฉบับอื่นๆ ที่ไม่ชั่วคราวมาแปลในสำนวนใหม่ๆ ส่วนสำนวนที่ตั้งชื่อเรียกว่า "ฉบับแปลถูกต้องสมบูรณ์" สำนวนนี้น่ากลัว ท้าทาย และต้องพร้อมถูกตรวจสอบความไม่ถูกต้องและความไม่สมบูรณ์ต่อไป
O ลักษณะการแปลของอาจารย์ทั้งสองท่านมีความต่างอย่างไร?
ข้อต่างในสำนวนแปลของอาจารย์รัตติยา กับอาจารย์ชินทาโร่ ในแง่ของการเรียบเรียงและการแปล ถ้าอ่านทั้งสองสำนวนและตรวจสอบโดยละเอียดจะพบว่า บทความแปลของอาจารย์รัตติยาเป็นการแปลแบบภาษาการทูต เข้าใจง่าย สงวนความต่าง และดูจะเข้าข้างทางการไทยในความรู้สึกของคนในพื้นที่ รวมทั้งการเรียบเรียงคำแปลที่เผยแพร่ทางหนังสือพิมพ์นั้น แบ่งวรรคตอนแล้วอ่านยาก รวมถึงมีปัญหาในการเรียบเรียงคำที่ส่งผลต่อรูปประโยค
เช่น ในกรณีการเลือกใช้คำแปล อย่างคำว่า "kebebasan" อาจารย์รัตติยาแปลโดยใช้คำว่า "ปลดปล่อย" ส่วนอาจารย์ชินทาโร่แปลด้วยคำว่า "อิสรภาพ" หรือ "เสรีภาพ" ซึ่งอาจารย์ท่านหลังน่าจะแปลได้กว้างกว่าและตรงกว่าในกรณีข้อเรียกร้องจากความขัดแย้งที่ชายแดนใต้
หรือในตอนหนึ่ง ท่านฮัสซันพูดว่า Baik segala bidang ในนาทีที่ 1 วินาทีที่ 11 ตามคลิปยูทิวบ์ (คลิปแรก) ไม่ใช่ oleh segala bidang อย่างที่อาจารย์รัตติยาถอดความ ส่วนในสำนวนแปลของอาจารย์ชินทาโร่นั้นตกหล่น ไม่ถอดความและแปลความสามคำนี้ที่มีปรากฏอยู่จริงในแถลงการณ์ข้อเรียกร้อง
ส่วนการเรียบเรียงเพื่อการเผยแพร่จากการแปลความของอาจารย์ทั้งสอง จะเห็นได้ว่าการเรียบเรียงแบ่งวรรคการแปลนั้น ของอาจารย์ชินทาโร่เรียบเรียงเป็นประโยคดีกว่า อ่านง่ายกว่า เพราะผู้อ่านอาจจะไม่ได้ดูความหมายในเชิงลึก แต่มองดูว่าประโยคนั้นแปลอย่างไร ต่อความรู้สึกอย่างไร ผู้รู้ด้านภาษาหลายท่านเห็นด้วยว่าการของอาจารย์ชินทาโร่มีการใส่อารมณ์ แต่ตรงกับจุดยืนและความต้องการของบีอาร์เอ็นมากกว่า การร้อยเรียงประโยคที่ดีย่อมส่งผลต่อความเข้าใจการตีความที่แม่นยำขึ้น
ฉะนั้นคำว่าถูกต้องสมบูรณ์ในการแปลข้อเรียกร้อง เป็นไปได้เพียงแค่มุมมองของแต่ละบุคคลเท่านั้น แต่สิ่งสำคัญคือรัฐบาลไทยจำเป็นจะต้องเปิดโอกาสให้ทางบีอาร์เอ็นขยายความรายละเอียดข้อชี้แจงของข้อเรียกร้องทั้ง 5 ข้อ
O อาจารย์ช่วยขยายความข้อเรียกร้อง 5 ข้อของบีอาร์เอ็นว่าต้องการสื่อนัยยะอะไรบ้าง?
หากอ่านโดยวิเคราะห์ ดูการจัดเรียงประโยค การให้ความหมายหรือการเลือกใช้คำที่แอบแฝงอยู่ในข้อเรียกร้องต่างๆ จะพบว่า ข้อที่ 1 เป็นการขอเพิ่มบทบาทหน้าที่ของฝ่ายที่สาม "ให้สยามยอมรับมาเลเซียเป็นผู้ไกล่เกลี่ย ไม่ใช่เพียงผู้อำนวยความสะดวก" ข้อนี้มีนัยยะของการยกฐานะของมาเลเซียในฐานะประเทศที่จัดให้มีการพูดคุยขึ้น เป็นการขอเพื่อสร้างความมั่นใจว่าควรจะมีสักขีพยานหรือการติดตามจากฝ่ายที่สาม คือจากประเทศที่มีการจัดพูดคุย ซึ่งในนัยยะลึกๆ แล้วผมคิดว่าทางบีอาร์เอ็นต้องการฝ่ายที่ไม่ได้อยู่ข้างไทย และไม่ได้อยู่ข้างบีอาร์เอ็น แต่ข้อเรียกร้องเช่นนี้ทำให้ทางการไทยมองได้ว่า มาเลเซียจะเป็นกลางจริงได้หรือเปล่า เป็นการเพิ่มบทบาทของมาเลเซียไปจากเดิมมากไปไหม หรือมักจะมีข้อกังวลว่ามาเลเซียย่อมต้องเข้าข้างกลุ่มชนที่มีชาติพันธุ์เดียวกันหรือไม่
ข้อที่ 2 เป็นการสร้างความชัดเจนในระหว่างคู่กรณีที่ขัดแย้ง ยกฐานะและสร้างการยอมรับขบวนการบีอาร์เอ็นในฐานะตัวแทนการพูดคุยของฝ่าย "บังซาปาตานี" กับทางฝ่าย "เจ้าอาณานิคมสยาม" ข้อนี้มีนัยยะที่ต้องการสื่อให้เห็นว่าบีอาร์เอ็นไม่ได้เรียกร้องเพื่อขบวนการตนแต่ฝ่ายเดียว แต่เป็นตัวแทนเรียกร้องแทนคนกลุ่มใหญ่ และอาจต้องการจะสื่อว่าจริงๆ แล้วอาจไม่ได้มีแค่ในบีอาร์เอ็นเพียงกลุ่มเดียว แต่ยังมีหลายกลุ่มที่มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลังในเหตุการณ์ความไม่สงบ และการพูดคุยที่นำโดยบีอาร์เอ็นนี้อาจมีนโยบาย วิธีการ และเนื้อหาสาระที่ต่างจากกลุ่มพูโลหรือกลุ่มอื่นๆ ก็เป็นได้
ที่น่าสนใจในข้อนี้ การใช้คำ "bangsapatani" ที่ปรากฏในข้อเรียกร้อง ถ้าทางการไทยตีความแคบจะเข้าใจว่า บีอาร์เอ็นใช้คำนี้เพื่ออ้างตัวว่าขบวนการเขาคือตัวแทนเรียกร้องเพื่อคนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในมิติปัจจุบันเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่ ความหมายของ "bangsapatani" ที่เขาหมายถึงนั้น หมายรวมถึงคนปาตานีที่ดำรงอยู่ในที่อื่นๆ ด้วย ตั้งแต่คนมลายูปาตานีที่อยู่บางกอก เพชรบุรี คนปาตานีที่อยู่กระจัดกระจาย แตกกระสานซ่านเซ็น ไม่ว่าจะเป็นมาเลเซีย อินโดนีเซีย สวีเดน และที่อื่นด้วย ขบวนการเขานับกลุ่มคนที่รับผลที่ตามมานับแต่อดีต ไม่เพียงเฉพาะพื้นที่ขัดแย้งในปัจจุบัน เพราะถ้าบีอาร์เอ็นจะหมายถึงแค่คนในเฉพาะสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เขาจะใช้คำว่า Orang dalamTiga Wilayah Selatan ซึ่งจะสื่อได้เฉพาะเจาะจงกว่า การเลือกใช้คำนี้นับว่ามีความสำคัญมาก แต่ไม่ได้ถูกตีความหรือนำมาวิเคราะห์ในเชิงลึก รัฐบาลไทยมีเพียงคำถามกลับมาว่า บีอาร์เอ็นจะเป็นตัวแทนของคนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้จริงหรือ? ซึ่งพิเคราะห์แค่นั้นไม่เพียงพอ
ข้อที่ 3 "ในการพูดคุยต้องการพยานที่มาจากประเทศอาเซียน โอไอซี (องค์การความร่วมมือิสลาม) และเอ็นจีโอ" นับว่าเป็นข้อเรียกร้องเชิงรูปธรรมเช่นเดียวกับข้อที่ 4 แต่ข้อ 3 เป็นการขอคนกลางเข้าร่วมกระบวนการพูดคุย หรือในขั้นตอนการเจรจา ซึ่งนับเป็นการร้องขอปกติในกระบวนการสร้างสันติภาพ ซึ่งรัฐไทยย่อมให้ได้
แต่ข้อที่ยากกว่าคือข้อที่ 4 "การปล่อยผู้ที่ถูกควบคุมและมีหมายคดีความมั่นคงโดยไม่มีเงื่อนไข" ซึ่งหมายถึงเสถียรภาพและความน่าเชื่อของรัฐในการอำนวยความยุติธรรม และประเด็นเรื่องความมั่นคงที่ต้องพิจารณาโดยละเอียดและรอบคอบ เป็นข้อที่บีอาร์เอ็นขอตรงๆ กับรัฐไทย อย่างการยกเลิกหมายจับ (เฉพาะคดีความมั่นคง) และปล่อยผู้ที่ถูกควบคุม ไม่ใช่เพียงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานของกระทรวงยุติธรรมเท่านั้น แต่ยังหมายรวมทั้งภารกิจของกองทัพ ตำรวจ ศาลที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมที่เป็นผลพวงที่มาจากการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และกฎหมายพิเศษที่ส่งผลกระทบอย่างสำคัญต่อกลุ่มคนเหล่านั้น
และข้อที่ 5 ไม่ใช่การขอในเชิงรูปธรรม แต่เป็นการขอเปลี่ยนสถานะและปรับทัศนคติความเชื่อของสังคมที่ถูกทางการไทยใช้เรียกมาโดยตลอดว่า บีอาร์เอ็นคือกลุ่มแบ่งแยกดินแดน เป็นข้อเรียกร้องที่มาจากการใช้ชื่อเรียกของทางการไทยที่บีอาร์เอ็นมองว่าเป็นสถานะที่ผิดเป้าประสงค์ เป็นการแสดงการโต้เชิงตรรกะ และเป็นการแสดงความยืนยันในสถานะที่ชวนให้สังคมต้องยอมรับว่าบีอาร์เอ็นเป็น "องค์กรปลดปล่อย" แต่ไม่ใช่ "กลุ่มแบ่งแยกดินแดน"
ฉะนั้นทางการไทยและผู้รับสารข้อนี้ต้องอ่านนัยยะและตีความที่ลึกซึ้งมากกว่านั้นว่าทำไมเขาถึงจัดวางสถานะเป็นผู้ปลดปล่อยมากกว่าใช้คำว่าแยกดินแดน ถ้าใช้คำว่า "ปลดปล่อย" หมายถึงที่ผ่านมาถูกกดทับ กดขี่ ไร้อิสรภาพหรือไม่สามารถมีสิทธิที่พึงมีพึงได้หรือไม่ ในขอเรียกร้องข้อที่ 5 นี้มีมิติเรื่องของอำนาจ ประวัติศาสตร์ การเป็นเจ้าของ การขอความเป็นธรรมและเรื่องจิตวิทยามวลชน
ทั้ง 5 ข้อเรียกร้องถูกขยายความโดย นายฮัสซัน ตอยิบ ที่สัมภาษณ์ผ่านวิทยุสถานีร่วมด้วยช่วยกัน (Media Selatan) เมื่อเวลาประมาณ 20.00 น. วันที่ 18 มิ.ย. ในตอนท้ายของบทสัมภาษณ์ เขาเองก็ออกมาขยายความใน 5 ข้อที่เรียกร้องออกมาว่ามีความหมายและเนื้อหาสาระอย่างไร ซึ่งถือเป็นเรื่องดีมาก เพราะทำให้ข้อเรียกร้องเหล่านั้นมีเหตุมีผลข้างในมากยิ่งขึ้น ทุกฝ่ายเริ่มเข้าใจเจตนารมณ์ของข้อเรียกร้องทั้งหมดมากขึ้นกว่าเดิม เพราะคำที่ใช้ในข้อเรียกร้องล้วนแต่เป็นทั้งเรื่องของเหตุผลและการร้องขอในเชิงอำนาจ และวางอยู่ในสถานการณ์ความขัดแย้ง ข้อเรียกร้องหรือคำร้องขอจึงถูกนำไปเป็นเครื่องมือในการต่อรอง ต่อสู้ด้วยหลักการและเหตุผลด้วยแนวทางสันติวิธี
นับได้ว่าเป็นโอกาสสำคัญของ 9 ปีที่ผ่านมา กับปัญหาไฟใต้ที่เรามักอยู่ในสถานการณ์ที่เรียกว่า "ไม่รู้ว่าเรากำลังรบอยู่กับใคร"
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ : อาจารย์โชคชัย วงษ์ตานี