พรรคการเมือง ตอบโจทย์"สื่อ"ปฏิรูปประเทศไทย
ภายใต้บรรยากาศการเลือกตั้ง ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ร่วมกับสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สถาบันอิศรา และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดงานสัมมนาสื่อมวลชน “พรรคการเมือง ตอบโจทย์สื่อ ปฏิรูปประเทศไทย” โดยเชิญตัวแทนพรรคการเมืองที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี ทั้ง นายปลอดประสพ สุรัสวดี จากพรรคเพื่อไทย นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย พรรคประชาธิปัตย์ นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน และนายวัชระ กรรณิการ์ พรรคชาติไทยพัฒนา ขึ้นเวทีนำเสนอนโยบายพรรค ร่วมแลกเปลี่ยน แนวคิด–ทิศทางการปฏิรูปประเทศไทย
ไฮไลท์ของงานอยู่ช่วงการเปิดเวทีให้ตัวแทนสื่อมวลชน ผู้ขันอาสามายิงคำถามสดๆ ถามนักการเมือง เพื่อให้คำตอบแบบเรียงคน
ศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฏิรูปประเทศไทย เก็บตกประเด็น พร้อมประมวลคำถาม-คำตอบ มาไว้ที่นี่
“สนิทสุดา เอกชัย” จากนสพ.บางกอกโพสต์ ถาม...
คณะกรรมการปฏิรูปได้เสนอให้มีการปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ โดยการกระจายอำนาจ ยุบหน่วยราชการส่วนภูมิภาค และให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเก็บภาษีเอง พรรคของท่านมีแนวทางในการดำเนินการเข้าสู่การกระจายอำนาจ อย่างไร และระยะเวลาในการจัดการที่เห็นชัด ขอเป็นรูปธรรม
นายสาทิตย์ : ในระยะเบื้องต้นการเพิ่มศักยภาพขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เป็นเรื่องสำคัญ ปัจจุบัน อปท. มีหลากหลายรูปแบบมากตั้งแต่ อบต. อบจ. เทศบาล สิ่งที่จะต้องเดินหน้าคือ การลดภาระของท้องถิ่น ในเรื่องของเงินที่เป็นเงินที่เรียกว่าเป็นเงินซึ่งจัดสรรให้ท้องถิ่น รัฐบาลจะเดินหน้าในเรื่องของการปรับเบี้ยผู้สูงอายุ ปรับเรื่องของเงินซึ่งโอนให้ท้องถิ่นกลับมาเป็นของรัฐบาลกลาง
เงินที่จะเป็นของท้องถิ่นตามกฎหมายกระจายอำนาจนั้น สามารถได้เต็ม100% และก็จะตรงกับแนวทางของคณะกรรมการปฏิรูป ที่ต้องการให้เงินที่ไปท้องถิ่นนั้น ไม่เป็นภาระผูกพันของรัฐบาล และรับในสัดส่วนของรัฐบาล เงินส่วนนี้เมื่อกลับไปแล้วตัวเลขที่แท้จริงอยู่ที่ประมาณ 3-4 % ก็แปลว่า เงินที่จะลงไปที่ท้องถิ่นนั้น สามารถที่จะมีเงินไปอุดหนุนท้องถิ่น สำหรับระยะเวลานั้นสามารถทำได้ทันที ไม่เกินครึ่งปีของการเป็นรัฐบาล ในส่วนที่จะดำเนินการแล้วเสร็จก็คือส่วนของงบประมาณปี 2555
ส่วนเรื่องกฎหมายซึ่งจะทำให้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นมีความเข้มแข็งในตัวเอง จะมีอยู่3-4ฉบับค้างใน สภาฯ ก็ต้องเดินหน้าต่อ ไปผลักดันกฎหมาย4ฉบับนี้ เป็นไปตาม รธน.ปี2550 อีกอันหนึ่งคือการเพิ่มกลไกภาครัฐเข้าไปมีบทบาทในการตรวจสอบ อปท. อันนี้จะมีกฎหมายที่เกี่ยวของอีก2-3ฉบับ การดำเนินการเรื่องนี้ต้องใช้เวลาประมาณ 1-1 1/2ปี เพราะฉะนั้นแนวทางนี้เดินหน้าต่อได้ เพราะเห็นว่าองค์กรภาคประชาชนดูแลในส่วนนี้ได้ ผมคิดว่าถ้าปรับ2ตัวนี้ไปแล้ว ในเรื่อง อปท.ก็จะมีความเข้มแข็งเพิ่มมากขึ้น
กรณียกเลิกราชการส่วนภูมิภาค เราไม่สามารถที่จะยกเลิกราชการส่วนภูมิภาคได้ทันที แต่สิ่งที่เราทำได้คือการเอางานส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นงานส่วนภูมิภาค แต่เป็นงานที่ท้องถิ่นกับชุมชนทำได้เองให้เขาไปจัดการกัน เช่น เรื่องภัยพิบัติ อันนี้จะเป็นการลดบทบาทของภูมิภาคไปด้วยโดยตรง
การไปเพิ่มบทบาทในการจัดการภัยพิบัติให้กับท้องถิ่นในแนวคิดของพรรคประชาธิปัตย์ คือการจัดตั้งองค์ที่ไม่ใช่ราชการที่เป็นองค์กรจัดการภัยพิบัติ และต้องมีกองทุนเบื้องต้นประมาณหมื่นล้านบาท ขณะเดียวกันแนวที่เราเคยเดินไว้แล้ว ก็คือการให้กองทุนกับองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งหมดในการจัดการภัยพิบัติ เบื้องต้นนั้นอาจจะมีเงินไม่เกิน 7 ล้านบาท กับกองทุนในส่วนขององค์กรจัดการภัยพิบัติขนาดใหญ่ ใครจะเรียกกระทรวง ทบวง กรมอะไรก็แล้วแต่ ตรงนี้จะเป็นการลดภาระงานส่วนภูมิภาคไป ไปเพิ่มบทบาทของท้องถิ่นและประชาชนโดยตรง
ผมว่า ภายในระยะเวลา 3-4 ปี เราจะได้เห็นความเข้มแข็งของท้องถิ่นมากขึ้น บทบาทของภูมิภาคที่ลดลง และส่วนกลางที่จะดูการกระจายในภาพรวมที่ชัดเจนมากขึ้น
นายปลอดประสพ: ผมดีใจที่คณะกรรมการของท่านอานันท์ กับหมอประเวศ ได้พูดถึงเรื่องความเหลื่อมล้ำ ที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยได้พูดถึงเรื่องความเหลื่อมล้ำมาตลอด แม้แต่คนเสื้อแดง เขาก็พูดมาแต่ไม่มีคนเชื่อไม่มีคนฟัง
วันนี้ คณะกรรมการชุดนี้พูดออกมา 4 ข้อ ว่า มีการแข่งขันกันในเชิงอำนาจนอกระบบ และพูดว่าเกิดความแตกแยกจนนำไปสู่การนองเลือด ได้พูดว่า มีการเลือกกปฏิบัติจนเกิดความอยุติธรรมขึ้น และพูดว่า ความเหลื่อมล้ำ ความไม่เท่าเทียมกันเป็นมูลเหตุของความรุนแรงในปัจจุบัน อย่างน้อยคณะกรรมการชุดนี้ได้ยืนยันในสิ่งที่พวกผมพูดมาตลอด
คำถามที่ถามมานี้อยู่ในหมวดที่ 4 มีอยู่ด้วยกัน 10 ข้อ อยู่ในข้อที่ 1 ว่าด้วยการปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ พรรคเพื่อไทยได้นำมาเป็นนโยบายแล้ว 2 ข้อ คือ ข้อ 7 กับข้อ10 เรื่องของการให้ข้อคิดของการจัดระบบการคลังด้วยตนเองและก็ให้รัฐบาลสนับสนุนต่อการจัดการองค์กรภาคประชาชน เข้ามาในเรื่องนโยบายกองทุนหมู่บ้าน ให้มาเป็นธนาคารชุมชน ในเรื่องของSME คือให้ไปคิดกันเองว่า ให้ใครยืม ยืมไปทำเพื่ออะไร เป็นต้น
กลับมาพูดเรื่องของการยกเลิกการบริหารราชการส่วนภูมิภาค ในฐานะข้าราชการเก่า รัฐบาลชุดนี้บอกว่าหมดความจำเป็น ผมว่าเป็นการพูดที่ห้วนไปสักหน่อย มันต้องค่อยพัฒนาไป จะไปยกเลิกปุบปับแบบนี้มันไม่ได้ ข้าราชการเองก็ไม่ได้ตั้งใจให้มันปุบปับอย่างนั้น ต้องดูทีละเรื่องว่า การบริหารราชการสวนภูมิภาค ซึ่งมีหน่วยของกระทรวงเกษตร กระทรวงทรัพยากรฯ เรื่องใดทำได้ก่อนได้หลังโดยคำนึงถึง 2 สัญญาณ อย่างแรกก็คือว่า ความพร้อมของการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นที่จะรับสิ่งเหล่านั้นได้ สองก็คือว่าความสุ่มเสี่ยงที่ทำไปแล้วจะกระทบต่อประชาชนอย่างไร สามขั้นตอนเป็นอย่างไร
โดยสรุปก็คือว่า เห็นด้วยในหลักการแต่ต้องค่อยเป็นค่อยไป แล้วก็ต้องมีข้อมูลทางเทคนิคเพียงพอที่จะตัดสินใจ ความรวดเร็ว และวิธีการ เรื่องของกระบวนการ
นายวัชระ: พรรคชาติไทยพัฒนา เห็นด้วยกับแนวทางและข้อเสนอของคณะกรรมมการปฏิรูป โดยเฉพาะเรื่องของการกระจายอำนาจรัฐสู่ท้องถิ่น ซึ่งโยงใยไปสู่การมีแนวคิดที่จะยุบ ยกเลิกการปกครองส่วนภูมิภาค
ผมเห็นด้วยและก็สนับสนุนแนวคิดนี้ ในแนวนโยบายของพรรคชาติไทยพัฒนาเองที่พรรคจัดทำขึ้นมาใช้เป็นคัมภีร์บริหารพรรคและนำเสนอแก่ประชาชน มีเรื่องการกระจายอำนาจอยู่ในข้อ 1.4 หมายความว่า เราให้ความสำคัญ พรรคเชื่อว่า การกระจายอำนาจรัฐสู่ท้องถิ่นจะเป็นประโยชน์กับประเทศ เรานำเสนออยู่3ตัว 1.กระจายอำนาจบริหาร 2.กระจายอำนาจการปกครอง 3.กระจายอำนาจการคลัง
แต่อาจจะมีการตั้งคำถามจากข้าราชการประจำถึงเรื่องของความพร้อม ถ้าปล่อยให้ท้องถิ่นบริหารการเงินการคลังเอง บริหารงบประมาณเอง จะมีปัญหาในการใช้อำนาจอย่างถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ ต้องเชื่อและมั่นใจในความรับผิดชอบ ต่อความรู้ความสามารถของประชาชนหรือว่า นักการเมืองท้องถิ่น ซึ่งบางอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไป ต้องดูไปทีละเรื่อง
นายแพทย์วรรณรัตน์ : เห็นด้วยกับเรื่องปัญหาที่กดดันสังคมไทยในขณะนี้คือเรื่องของความเหลื่อมล้ำของสังคมในทุกมิติ ปัญหาผู้ด้อยโอกาสกับผู้มีโอกาสมากกว่าในการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติต่าง ไม่ว่าจะเป็นแหล่งน้ำ ที่ดิน ฯลฯ ช่องว่างระหว่างคนรวยคนจน คนเมืองคนชนบท การกระจายรายได้ต่างๆก็ดี การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ให้คนในท้องได้มีโอกาสใช้สติปัญญา ใช้ความรู้ความสามารถในการที่จะแก้ไขปัญหาของถิ่นนั้นโดยหลักการที่ถูกต้อง ว่าท้องถิ่นต้องรู้ปัญหา รู้ความต้องการของคนในท้องถิ่นได้ดีกว่าส่วนกลาง
แต่การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นนั้นก็ต้องดูความพร้อมของท้องถิ่นด้วย ต้องกระจายอำนาจ คน ไปพร้อมๆกัน ถ้ากระจายเพียงอย่างเดียว หรืองบประมาณไม่ไป ก็ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เราต้องเสริมสร้างท้องถิ่นให้มีความพร้อมในทุกๆด้าน คน งบประมาณและการจัดการ
เวลานี้มีผู้บริหารในจังหวัดอยู่2แบบ คือผู้ว่าฯซึ่งมาจากการแต่งตั้ง และ นายก อบจ. ซึ่งมาจากการเลือกตั้งของประชาชนในท้องถิ่น กลายเป็นว่า จังหวัดมีผู้บริหาร2คน ผู้ว่าฯเป็นผู้บริหารสายบริหาร นายก อบจ.เป็นผู้บริหารสายพัฒนา งบประมาณอยู่ที่ท้องถิ่นที่นายก อบจ. ผู้ว่าฯไม่มีงบประมาณ มีแต่งบCEO
คิดว่าถ้าจะทำให้ท้องถิ่นเข้มแข็งสามารถดูแลปัญหาได้ ท้องถิ่นต้องมีความเข็มแข็งและเป็นเอกภาพ ผมเห็นด้วยในหลักการถ้าจะให้ท้องถิ่นเข้มแข็งจริงๆแล้ว ผู้บริหารในจังหวัดต้องมีคนเดียวไม่ใช่แยกส่วน ต้องค่อยเป็นค่อยไป ต้องมีช่วงเปลี่ยนผ่านที่เหมาะสม รองรับให้ท้องถิ่นมีความเข้มแข็ง ปล่อยให้งานที่เป็นของส่วนกลางเป็นของส่วนกลางไป
“วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์” รองผอ. ด้านข่าวและรายการ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ถาม...
จากกรณีของญี่ปุ่น พรรคการเมืองมีนโยบายชัดเจนอย่างไรเรื่องโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ จะมีหรือไม่มี
นายแพทย์วรรณรัตน์ : กลับมา “ทบทวน” ถึงความปลอดภัยหรือไม่ พรรคไม่มีการสร้างพลังงานนิวเคลียร์หยุดไฟฟ้าปรมาณู สู่พลังงานทดแทน สรุป “ไม่มี”
นายวัชระ: ตอนแรกมองว่า ประเทศไทยมีความจำเป็น แต่พอเกิดเรื่องกับญี่ปุ่น ต้องต้องมา “ทบทวน” ความปลอดภัย ต้องมารับฟังประชาชนด้วย ถือว่าเราวางเรื่องไว้บนโต๊ะ ในเบื้องต้นคง “ไม่มี”
นายปลอดประสพ: นโยบาย 2 ม. ในมิติของเทคโนโลยีความปลอดภัย คือ ไม่มี ในมิติที่ 2ว่าด้วยเรื่องความต้องการไฟฟ้าถึงจุดระดับที่จะต้องเลือกที่มาของๆไฟฟ้าที่มีความเสี่ยงอย่างนี้หรือไม่ คำตอบคือเรายังไม่ถึงจุดนั้น “ไม่มี”ด้วยเทคโนโลยีและ “ไม่มี” ด้วยข้อเท็จจริงในวันนี้
นายสาทิตย์: เป็นรัฐบาล4ปีนั้น “ไม่มี” อันดับ2ที่ต้องพูดถึงคือ เรื่องของพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือกก็ยังมีปัญหาที่ต้องศึกษา เรื่องของการลดการใช้พลังงานเกินความจำเป็น
“พัชระ สารพิมพา” รักษาการผอ.สถานีวิทยุ อสมท ถาม...
- แต่ละพรรค เลือกสักเรื่องที่มั่นใจว่าจะทำได้ เป็นรูปธรรม จริงจัง ถ้ามั่นใจ แล้วทำไม่ได้ จะแสดงความรับผิดชอบอย่างไร
- ความขัดแย้ง ยอมรับหรือไม่ว่านักการเมืองคือผู้นำหัวขบวนความขัดแย้ง ถ้ายอมรับ นักการเมืองจะนำตนเองออกจากความขัดแย้งได้อย่างไร
นายแพทย์วรรณรัตน์: เรื่องที่ทำได้ทันที คือ เสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน เรื่องนี้ความขัดแย้งนี้เรื่องจริง นักการเมืองคนที่ตอบไม่จริงมันไม่ใช่ ไม่ว่านักการเมืองจะมีส่วนที่ให้ผู้สนับสนุนไม่ว่าตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ไม่สน อาจจะมีส่วน ที่ทำให้กองเชียร์ขับเคลื่อนตามพรรคตนเองต้องการ
นายวัชระ: เรื่องความขัดแย้งที่มาจากนักการเมืองและพรรคการเมือง ไม่ต้องถาม เรื่องนี้จริง นักการเมืองคนไหนที่ตอบว่าไม่จริงก็ไม่ใช่ นักการเมืองและพรรคการเมืองในข้อเท็จจริงย้อนหลังไป ไม่ว่านักการเมืองจะมีส่วนหรือทำให้กองเชียร์หรือผู้สนับสนุนกระทำหรือไม่กระทำในสิ่งใดๆเสมอๆ ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม หลายคนบอกว่าพรรคและนักการเมืองมันชัดเจนขึ้น มีส่วนที่อาจจจะทำให้กองเชียร์มีพลังนอกสภา ขับเคลื่อนตามที่ตนเองหรือพรรคต้องการ นี่คือสมมติฐาน
พรรคชาติไทยพัฒนาเราไม่ได้มีมวลชน ใครมีมวลชนเรามองอย่างนั้นจริงๆ พูดกันแบบไม่ดัดจริต คนทั้งประเทศมองแบบนั้น คำตอบคือ ไม่ต้องปฏิเสธหรือถกเถียงว่าเกี่ยวข้องหรือไม่ เอาเป็นว่าถ้านักการเมืองทุกคนเคารพกติกา ผลการเลือกตั้งออกมา ผมอยากให้พรรคใหญ่ๆพูดให้ชัดเลยว่า ยอมรับผลการเลือกตั้ง ถ้าถามในฐานะนักการเมืองเล็ก พรรคการเมืองเล็กก็น่าจะโอเค
นายปลอดประสพ: เลือก2ข้อ อย่างแรกคือเรื่อง2มาตรฐาน ให้เหลือมาตรฐานเดียว ยังไงก็ไม่ยอมเด็ดขาด เรื่อง2 คปร.บอกว่าคนจนมีแต้มต่อน้อย ไม่ยอมเด็ดขาด คนจนคนรวยมีมีสิทธิเท่ากัน เราจะกระจายโอกาสกระจายเงินจะเห็นได้จากกองทุนต่างๆ ข้อ3 คปร. ความยุติธรรมฝูงปลา ปลาใหญ่กินปลาน้อย ต่อไปนี้ไม่ยอม กินกันไม่ได้เด็ดขาด ฝูงปลาแปลว่าอยู่เป็นฝูงเหมือนหมาหมู่ ไม่ยอมครับ
ข้อต่อไป การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด ทั้งเนื้อหาสาระ และจะแก้รัฐธรรมนูญแน่นอน ข้อต่อไปว่าด้วยการปฏิรูปกองทัพ ทหารต้องยอมรัฐบาลจากการเลือกตั้งเท่านั้น ถ้าผมเป็นรัฐบาลต้องยอมรับ ไม่ต้องมาขู่เรื่องปฏิวัติ ไม่กลัว ทหารต้องลดภาระกิจด้านการเมือง กลับกรมกองทำหน้าที่ของท่านจึงจะเป็นวีรบุรุษ
นายสาทิตย์ : เห็นด้วยว่านักการเมืองเป็นหัวหอกของความขัดแย้ง นักการเมืองต้องถอยตัวออกมา มันไม่ใช่เรื่องที่ว่านักการเมืองจะสร้างความปรองดองได้โดยการออกกฎหมายนิรโทษกรรมล้างความผิดให้กับใคร พรรคเพื่อไทยขณะนี้ถึงกับประกาศหัวหน้าทีมปรองดองแล้วซึ่งเป็นคุณเฉลิม แต่ประชาธิปัตย์ เห็นว่าตัวคณะกรรมการซึ่งเป็นกลไกที่ไม่มีส่วนได้เสียกับการเมือง คนไม่ควรไปทำ และควรเป็นคนสร้างข้อเสนอในเรื่องของความปรองดองด้วยการลดความขัดแย้งในประเทศ
เรื่องที่2 ที่เสนอและทำได้ทันที่คือเรื่อง “ที่ดิน” เป็นปัญหาหลักเรื่องความขัดแย้งและความเหลื่อมล้ำในปัจจุบันนี้ คนไร้ที่ดิน ที่ คปร.ได้ไปศึกษา ประมาณล้านครัวเรือนไม่มีที่ดินทำกินเลย ฉะนั้นการดำเนินการในเรื่องที่ดิน เช่น โฉนดชุมชนประกาศไปแล้ว 2.5แสนคน ใน 1 ปีที่กำลังทำ เรื่องธนาคารที่ดินซึ่งในขณะนี้กฤษฎีกาทำแล้ว 30 วันนี้เป็นการตั้งกรรมาธิการเฉพาะ เรื่องที่ 3 กฎหมายภาษีที่ดินสิ่งปลูกสร้างที่จะผลักดันในสภาฯ เรื่องที่ 4 เขตเศรษฐกิจพิเศษ
ส่วนการจำกัดการถือครองที่ดินด้วยการใช้ระบบภาษีในอัตราก้าวหน้าก็จะโยงเข้ากับกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างซึ่งจะทำต่อแน่ สุดท้ายเป็นเรื่องของการเปิดเผยข้อมูลการครอบครองที่ดิน
“ดวงกมล โชตะนา” ประธานบริหาร นสพ.กรุงเทพธุรกิจ ถาม...
งบประมาณทางทหารเพิ่มขึ้น 1.7 แสนล้าน ในขณะที่ประเทศขาดดุลงบประมาณ4แสนล้าน จะควบคุมจำกัดงบฯกลาโหมอย่างไร กลาโหมบอกว่ายังน้อยไปด้วยซ้ำ เพราะเป็นเพียงแค่ 1.02 ของจีดีพี ซึ่งแปลว่าจะต้องเพิ่มอีกเป็นแสนล้าน
นายปลอดประสพ :งบมากน้อยไม่ใช่ประเด็น อยู่ที่ว่าใช้ถูกทางหรือไม่ในทางการทหาร ถ้านำไปใช้เรื่องการจัดองค์กรทหารทั้งเรื่องฮาร์ดแวร์ซอฟแวร์ ผมว่าไม่เห็นจะแปลกอะไร แต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามงบถูกใช้ในสิ่งที่ไม่ควร ไม่ใช่หน้าที่ของทหาร หรือนำไปใช้กับชายแดนอย่างนี้มันก็ต้องคิดในเรื่องนโยบายต่างประเทศและงบประมาณด้วย
นายสาทิตย์: งบการทหารที่เพิ่มขึ้น ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่มากน้อย แต่อยู่ที่เอาไปทำอะไร เรื่องของดุลด้านการทหาร จริงแล้วเป็นประเด็นต่อเนื่องกันมา 2ปีเศษที่นั่งอยู่ใน ครม. เป็นโครงการต่อเนื่องที่ต้องอนุมัติเพิ่มเติม โครงการใหม่ไม่ได้เริ่มเลย ไม่ได้มีอะไรเพิ่มถึงแสนล้าน ในเวลาเดียวกันการเริ่มของศักยภาพทางทหารที่ลงมือทำงานอย่างที่ท่านพูดถึงโครงการพิเศษมันไม่ได้มีงบที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ แต่ว่างบที่จะไปในช่วง2ปีที่เพิ่มขึ้น ผมเห็นอยู่2อย่าง หนึ่งเกิดเหตุตรึงเครียดชายแดน ไม่อาจปฏิเสธการใช้จ่ายได้ สองปัญหา3จังหวัดชายแดนใต้ แต่มันไปในงบของการพัฒนามากกว่า เน้นมาตรการจัดลำดับความสำคัญ
นายแพทย์วรรณรัตน์:ความมั่นคงประเทศไม่มีได้ถ้าขาดความมั่นคงด้านทหาร ประเทศชาติต้องมีการเสริมสร้างความมั่นคงด้านการทหารอย่างแรกก่อนจะเสริมสร้างความมั่นคงด้านอื่น ลดงบด้านกลาโหมอย่างไร ลดความขัดแย้งที่จำเป็นต้องใช้กำลังทหาร ลดความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่ก็ต้องอยู่ในระดับที่ไม่ต่ำเสียจนน้อยจนไร้ศักยภาพ วิธีง่ายๆคือเปลี่ยนสนามการรบเป็นสนามการค้า
นายวัชระ :เชื่อในหลักการดุลแห่งอำนาจ สิ่งที่ถูกถามเสมอคือคือเรื่อง งบกลาโหม แต่ช่วงสองปีที่เห็น นโยบายต่างๆที่เกี่ยวข้องกับกลาโหม มีความจำเป็นใช้จำเป็นจริงๆ เราจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องรักษาดุลแห่งอำนาจ ดุลแห่งความเกรงกลัวกับต่างประเทศไว้แบบนี้ การที่ต่างฝ่ายเกรงกลัวกันและกัน ก็จะไม่ก่อให้เกิดสงคราม ต้องสร้างความเป็นมิตรกับประเทศเพื่อนบ้าน ผมมองว่างบของกลาโหมยังมีความจำเป็น จริงๆแล้วถ้าเทียบกับต่างประเทศรอบข้างเรา เราน้อยมาก ต้องเน้นและจัดลำดับความสำคัญ ต้องโปร่งใส
“ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์”ผอ.สถาบันอิศรา ถาม...
กม. ม.112ของประมวล กม.อาญา เรื่องเกี่ยวกับความผิดในการหมิ่นประมาทและแสดงอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์เป็นเครื่องมือในทางการเมือง ใส่ร้ายป้ายสีและมีการเคลื่อนไหวให้ยกเลิก มีนโยบายในเรื่องนี้อย่างไร โดยเฉพาะเรื่องของการบังคับใช้ และการแก้ กม. นี้ด้วย
นายสาทิตย์: มีจุดยืนในการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ให้มาอยู่ในวงจรความขัดแย้งทางการเมือง ม.112 มีการพูดและมีการสนับสนุนคงไม่ใช่ประเด็น ประการหนึ่งคือพยายามเปรียบเทียบกับประเทศอื่นใน ตปท. เสมือนว่า การมีอยู่เป็นกม.ซึ่งล้าหลัง เป็นเครื่องมือซึ่งเอาไว้จัดการกับคนไม่เห็นด้วย หรือคนที่มีการพูดในเชิงของการวิพากษ์วิจารณ์ นี่เป็นการแสดงแนวทางหรือจุดยืนที่ไม่ถูกต้อง
สถานะพระมหากษัตริย์ในสังคมไทยแตกต่างจากระบบเดียวกันในประเทศอื่นๆ กฎหมายต้องมุ่งพิสูจน์เจตนา เพราะกม.อาญาต้องมีเจตนาหรือไม่เจตนาเป็นเรื่องหลัก กม.นี้ไม่อาจบิดเบือนได้ถ้าคนมีเจตนาที่ชัดเจน ควรจะมีอยู่ต่อไป กม.ฉบับนี้ยังมีความจำเป็นที่ต้องพิทักษ์รักษาสถาบันกษัตริย์ต่อไป สอง กม.ต้องชัดเจนว่าไม่ได้เป็นเรื่องของการกลั่นแกล้ง มุ่งให้กระบวนการยุติธรรมเป็นผู้พิสูจน์เจตนา
นายปลอดประสพ: ม.112 มีการตราขึ้นมาเพื่อเป้นการรักษาพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่เรื่อง อย่าวิจารณ์ เรื่องนี้ถ้าจะมีการเปลี่ยนแปลงใดใดก็เป็นเรื่องที่จะทรงพิจารณา ไม่ใช่เรื่องของพวกเรา
นายวัชระ : การมี ม.112 ดังกล่าว อยากจะพูด2เรื่องที่วิพากษวิจารณ์กัน ก็คงไม่พ้นเรื่องการใช้ กม.นี้ให้เกิดประโยชน์กับตน และอีกข้อคือสถาบันกษัตริย์เป็นสิ่งสูงส่ง เป็นเรื่องที่ไม่บังควรที่ใครคนใดคนหนึ่งจะล่วงละเมิดจาบจ้วง ซึ่งเป็นสิ่งที่คนไทยส่วนใหญ่ยอมรับไม่ได้และไม่ต้องการให้เกิดขึ้น
เรื่องของ ม.112 จะไม่มีทางเกิดขึ้นเลยถ้ามันพ้นจากเงื่อนไขที่พูดไปทั้ง2ข้อ คือสมมติฐานกล่าวอ้างว่ามีการบังคับใช้กม.โดยไม่เป็นธรรม กับสอง ไม่เกิดเหตุการณ์จริงขึ้นว่ามีการล่วงละเมิด
นายแพทย์วรรณรัตน์: ถ้าบังคับใช้กม.อย่างตรงไปตรงมา ไม่มีหลายมาตรฐาน มันก็ว่ากันตามนั้น ผิดก็ผิด ถูกก็ว่าถูก ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น