ชมคลิปวิดีโอ...ผ่าวงจรธุรกิจมืดชายแดนใต้ ความจริงในม่านหมอกความรุนแรง!
ข่าวคราวจากสื่อสารมวลชนกระแสหลักที่รายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในรอบเกือบ 1 เดือนมานี้ นอกจากจะมีข่าวสารเกี่ยวกับความรุนแรงรายวันตามปกติแล้ว ยังพบประเด็นที่น่าสังเกตก็คือ มีรายงานการจับกุมกวาดล้างแก๊งอิทธิพลเถื่อนที่ประกอบธุรกิจผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการจับกุมผู้ค้าน้ำมันเถื่อน 2 รายใหญ่ๆ พร้อมส่งนายทหารระดับรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ออกมายืนยันว่ามีหลักฐานโยงใยสนับสนุนขบวนการก่อความไม่สงบด้วย
การจับกุมและตรวจยึดน้ำมันเถื่อน 2 ล็อตล่าสุดได้ของกลางกว่า 3 แสนลิตร ประกอบด้วย ปฏิบัติการเมื่อวันที่ 17 เม.ย.2554 ที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส เป็นการจับกุมเรือบรรทุกน้ำมัน กับอีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 26 เม.ย.2554 เป็นการบุกทลายโรงงานยางพาราเก่าซึ่งเป็นสถานที่ซุกซ่อนน้ำมันเถื่อน พร้อมยึดรถบรรทุกน้ำมันได้อีกหลายคัน ในท้องที่ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส
ผู้ที่รับผิดชอบภารกิจนี้และทำหน้าที่สื่อสารกับสังคมคือ พล.ต.อัคร ทิพโรจน์ รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (รอง ผอ.รมน.ภาค 4 สน.) อดีตโฆษกกองทัพบก และอดีตหัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ กอ.รมน.ภาค 4 สน.
พล.ต.อัคร สรุปเปรี้ยงแบบฟันธงว่า ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนเป็นแหล่งเงินทุนแหล่งหนึ่งที่สำคัญในการสนับสนุนขบวนการผู้ก่อเหตุรุนแรงในภาคใต้ เช่นเดียวกับขบวนการค้ายาเสพติด ด้วยเหตุนี้ พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.รมน.ภาค 4 จึงได้สั่งใช้มาตรการตามกฎอัยการศึกจัดการ
แม้การกวาดล้างกลุ่มธุรกิจผิดกฎหมายเพื่อตัดวงจรเงินสนับสนุนขบวนการก่อความไม่สงบจะเป็นเรื่องดี แต่ก็น่าแปลกใจไม่น้อยว่าเหตุใดฝ่ายความมั่นคง โดยเฉพาะทหาร ภายใต้การนำของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า จึงเพิ่งมาโหมปฏิบัติการกันในช่วงนี้
ทั้งๆ ที่ไฟใต้คุโชนมานานกว่า 7 ปีแล้ว!
จะว่าไป...ปัญหาการเติบโตของธุรกิจผิดกฎหมายที่เฟื่องฟูอย่างหนักในพื้นที่ โดยเฉพาะหากพิจารณาผ่านการแพร่ระบาดของยาเสพติดซึ่งลงลึกถึงระดับหมู่บ้านแล้ว ย่อมสรุปได้ไม่ยากว่าเครือข่ายผู้ค้าและผู้เกี่ยวข้องนั้นกว้างขวางและซับซ้อนมากขนาดไหน ซึ่งประเด็นดังกล่าวนี้เป็นเรื่องที่พูดกันมานาน แต่ที่ผ่านมาฝ่ายความมั่นคงกลับแทบไม่เคยให้ความสนใจ อีกทั้งยังไม่เคยมีนโยบายหรือมาตรการใดๆ ออกมารองรับเพื่อจัดการกับเครือข่ายธุรกิจมืดเหล่านี้อย่างจริงจัง
ที่สำคัญ ธุรกิจผิดกฎหมายในพื้นที่ไม่ได้มีเพียงแค่ยาเสพติดกับน้ำมันเถื่อนเท่านั้น แต่ยังมีขบวนการขนสินค้าเถื่อน สถานบริการ ขบวนการค้าหญิงบริการ และบ่อนการพนันรวมอยู่ด้วย ทว่าจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีการพูดถึง "ธุรกิจมืด" หรือ "ธุรกิจใต้ดิน" ในสาขาต่างๆ ดังกล่าวมากนัก คงพุ่งเป้าไปที่ยาเสพติดกับน้ำมันเถื่อนเท่านั้น
ประเด็นที่น่าสังเกตมากที่สุดก็คือ ฝ่ายความมั่นคงยังไม่เคยสร้างความกระจ่างกับสังคมเลยว่า ธุรกิจผิดกฎหมายในพื้นที่เฟื่องฟูขนาดนี้ได้อย่างไร ในขณะที่มีกำลังพลของฝ่ายความมั่นคงทั้งทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง มากกว่า 60,000 นายในโครงสร้างของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ปฏิบัติงานอยู่ทุกตำบล
ด่านตรวจด่านสกัดนับร้อยจุดในพื้นที่ ไม่ได้ทำให้ขบวนการประกอบธุรกิจผิดกฎหมายหวั่นเกรงหรือลดทอนความ "อหังการ์" ลงเลยหรือ?
ฝ่ายความมั่นคงทราบหรือไม่ว่า ชาวบ้านในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เขาพูดกันว่าอย่างไร เมื่อพวกเขาต้องพบกับปัญหายาเสพติด น้ำมันเถื่อน สถานบริการ และบ่อนการพนันแทบจะทุกพื้นที่ ท่ามกลางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครองเดินกันขวักไขว่
เสียงจากชาวบ้านก็คือ มีคนของรัฐและฝ่ายความมั่นคงหลายระดับเกี่ยวข้องและรับผลประโยชน์จากวงจรธุรกิจมืดเหล่านี้ในรูปของ "ส่วย" ลักษณะต่างๆ ด้วย จึงทำให้สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้อยู่ในสภาพ "ผีซ้ำดั้มพลอย" กล่าวคือเจอทั้งสถานการณ์ความรุนแรง และสิ่งผิดกฎหมายที่บ่อนทำลายศีลธรรมรวมทั้งสังคมลงลึกถึงระดับครัวเรือนอย่างยับเยิน
หนำซ้ำวงจรดังกล่าวยังก่อให้เกิด "กลุ่มอิทธิพลเถื่อน" ที่มีพลังอำนาจไม่น้อยกว่ากลุ่มก่อความไม่สงบ และสามารถสร้างสถานการณ์รุนแรงเพื่อผลประโยชน์บางอย่างได้ไม่แพ้กัน แถมในบางกรณียังอาจใช้ "คนกลุ่มเดียวกัน" ในการก่อการด้วย
ความรู้สึกจริงๆ ของชาวบ้านในพื้นที่เช่นนี้ ถามว่าฝ่ายความมั่นคงจะให้คำตอบอย่างไร และเหตุใดจึงยังไม่มีมาตรการกวาดล้างธุรกิจผิดกฎหมายให้ครอบคลุมทุกมิติ รวมถึงจัดการกับเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง คอยสนับสนุน ช่วยเหลือ รับผลประโยชน์ หรือแม้แต่ละเลยจนทำให้สถานการณ์บานปลายมาจนถึงปัจจุบัน
"ทีมข่าวอิศรา" โดยการสนับสนุนของ "โครงการไฟฉาย" กองทุนรางวัลสมชาย นีละไพจิตร จัดทำสารคดีวิดีทัศน์เรื่อง "ผ่าวงจรธุรกิจมืดชายแดนใต้...7 ปีแสนล้านชาวบ้านได้อะไร?" เพื่อเปิดโปงให้เห็นสภาพความเป็นจริงในพื้นที่ปลายสุดด้ามขวานว่า มหันตภัยจากธุรกิจผิดกฎหมายคือ "ความจริงในม่านหมอกความรุนแรง" ที่ภาครัฐแทบไม่เคยเอ่ยถึง โดยเฉพาะประเด็นที่ "คนของรัฐเอง" เข้าไปมีส่วนร่วม
ยิ่งไปกว่านั้น ขบวนการดังกล่าวยังปั่นสถานการณ์ในพื้นที่ให้แลดูรุนแรงเกินจริง โดยมีผลประโยชน์จำนวนมหาศาลแทรกอยู่ในเสียงระเบิด ควันปืน และศพของผู้บริสุทธิ์คนแล้วคนเล่าที่ต้องสังเวยให้กับวงจรอุบาทว์นี้
สารคดีวิดีทัศน์ชุด "ผ่าวงจรธุรกิจมืดชายแดนใต้" มีความยาวประมาณ 20 นาที และน่าจะตอบคำถามคาใจของคนในพื้นที่ชายแดนใต้ได้มากว่าและตรงกว่าคำชี้แจงของฝ่ายความมั่นคง ท่านผู้อ่านที่สนใจสามารถรับชมได้โดย copy ลิงค์ข้างล่างนี้ไปวางในเว็บบราวเซอร์ โดยทีมงานแยกลิงค์ออกเป็น 4 ลิงค์เพื่อความสะดวกในการอับโหลด แต่ทั้ง 4 ลิงค์ต่อเนื่องเป็นเรื่องเดียวกัน
http://www.youtube.com/watch?v=mEIHFSQG5LU
http://www.youtube.com/watch?v=QWTJdTgJwCY
http://www.youtube.com/watch?v=PnFyeEE9C6w
http://www.youtube.com/watch?v=F7qqn_U7PhY
ยังมีประเด็นที่น่าสังเกตว่า หลังจากรัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก และ พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชน์ แม่ทัพภาคที่ 4 ลงมากระทั่งถึงระดับพื้นที่เร่งโหมกระแสเรื่องกลุ่มอิทธิพลและธุรกิจผิดกฎหมายว่ามีส่วนสนับสนุนขบวนการแบ่งแยกดินแดน และ/หรือ ขบวนการก่อความไม่สงบในภาคใต้นั้น ดูเหมือนปัญหาดังกล่าวจะกลายเป็น "สูตรสำเร็จ" ในการตอบคำถามของฝ่ายความมั่นคงต่อสื่อมวลชนไปแล้วว่าเหตุนี้เอง "ไฟใต้" จึงยังไม่สงบเสียที
"ทีมข่าวอิศรา" เกรงว่าท่าทีของฝ่ายความมั่นคงในเรื่องนี้อาจเป็นการ "ตั้งโจทย์" ผิดอีกครั้ง เพราะแม้วงจรธุรกิจผิดกฎหมายจะเป็น "สาเหตุหนึ่ง" ของปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ก็ไม่ใช่เป็น "สาเหตุเดียว" และไม่ควรนำสาเหตุนี้มาอธิบายแบบ "ตีขลุม" สถานการณ์ในภาพรวม เพื่อสุดท้ายก็จะได้ตั้งงบปราบยาเสพติด น้ำมันเถื่อน และแก๊งอิทธิพลมืดกันอีก ทั้งๆ ที่เป็นหน้าที่ปกติที่ต้องทำ และควรทำมานานแล้ว
ที่สำคัญ "ต้นตอ" ที่เป็น "เงื่อนไข" ใหญ่ของปัญหา คือความอยุติธรรม การละเมิดสิทธิมนุษยชน และพฤติกรรมแย่ๆ ของเจ้าหน้าที่รัฐ ดูเหมือนภาครัฐรวมถึงฝ่ายความมั่นคงจะยังคงละเลย และไม่เคยพูดถึงเช่นเดิม!
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
กองทุนรางวัลสมชาย นีละไพจิตร เปิดโครงการไฟฉาย 2 เพื่อให้ทุนส่งเสริมงานศึกษาและการผลิตสื่อเพื่อเปิดโปงปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในสังคมไทย โดยในปี 2554 นี้ เป็นโครงการภายใต้แนวคิด "ไฟฉายประชาธิปไตย เพื่อความโปร่งใสของสังคมไทย"
กองทุนรางวัลสมชาย นีละไพจิตร จึงขอเชิญชวนสื่อมวลชน นิสิตนักศึกษา และประชาชนทั่วไปที่พบเห็นปัญหาซึ่งเป็น "มุมมืด" ในองค์กรรัฐ ทหาร ตำรวจ วงการตุลาการ องค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) และองค์สาธารณะอื่นๆ ในประเด็นที่เป็นการใช้อำนาจอย่างไม่โปร่งใส ทุจริต คอร์รัปชั่น เช่น การสังหารนอกระบบ หรืออาชญากรรมโดยรัฐ, การซื้อตำแหน่งในระบบราชการไทย, การนิรโทษกรรมล่วงหน้าให้กับเจ้าหน้าที่รัฐ (Impunity), ความล้มเหลวขององค์กรด้านสิทธิมนุษยชนไทย และประเด็นปัญหาสิทธิมนุษยชนอีก 7 ด้าน ได้แก่
- ความรุนแรงในสามจังหวัดภาคใต้
- ปัญหาชาติพันธุ์ ชนเผ่า
- ผู้อพยพ ผู้ลี้ภัย
- คนหาย
- ละเมิดสิทธิเพศสภาพ
- แรงงานข้ามชาติ
- อำนาจมืด – อิทธิพลท้องถิ่น
สามารถส่งใบสมัครไปที่กองทุนรางวัลสมชาย นีละไพจิตร เพื่อทำการศึกษาและเปิดโปงความจริงในประเด็นเหล่านี้ได้ โดยผู้ที่ได้รับการคัดเลือกจะได้รับเงินทุนสนับสนุนไม่เกิน 1 แสนบาทเพื่อเป็นทุนในการศึกษา ค้นคว้าประเด็นที่สนใจ แล้วนำมาเขียนเป็นบทความเชิงลึกไม่เกิน 15 หน้า และผลิตสารคดีวิดิทัศน์หรือภาพยนตร์สั้นความยาว 20 นาที ซึ่งบทความและวิดิทัศน์ที่ทำเสร็จแล้วจะได้รับการเผยแพร่สู่สาธารณะด้วย
ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดใบสมัครและดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://somchaiaward.org อีเมล [email protected] หรือโทรศัพท์ 089-829-1167 begin_of_the_skype_highlighting 089-829-1167 end_of_the_skype_highlighting ภายในวันที่ 15 พ.ค.2554