บอมบ์กลางเมือง 3 ลูกใน 8 วัน...ได้เวลากองทัพยอมรับความจริงหรือยัง?
เหตุระเบิดอย่างรุนแรงทั้ง "คาร์บอมบ์" และ "มอเตอร์ไซค์บอมบ์" กลางเมืองยะลากับนราธิวาสถึง 3 ครั้งในรอบ 8 วัน เป็นความถี่ที่มากเกินรับได้สำหรับ "ไฟใต้" ที่ยืดเยื้อมานานกว่า 7 ปี โดยที่รัฐบาลกับฝ่ายความมั่นคงก็ยืนยันทุกทีที่ให้สัมภาษณ์ว่า "สถานการณ์กำลังดีขึ้น" และ "เรามาถูกทางแล้ว"
แน่นอนว่าในส่วนของการก่อความไม่สงบ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมือของกลุ่มที่มีอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดน พวกรับจ้าง กลุ่มผู้มีอิทธิพล ค้ายาเสพติด ของเถื่อน น้ำมันเถื่อน สถานบริการ หรือนักการเมืองบางกลุ่มบางพวกที่อยู่เบื้องหลังก็ตาม ต้องขอประณามไว้ตรงนี้ว่าพวกคุณทำเกินไปแล้ว! เพราะมีผู้บริสุทธิ์ต้องสังเวยชีวิตและได้รับบาดเจ็บแทบจะรายวัน มันไม่ใช่การก่อเหตุแบบ "ล็อคเป้า" เหมือนหลายปีที่ผ่านมา ฉะนั้นไม่ว่าจะทำด้วยเหตุผลใด ก็ไม่น้ำหนักมากพอที่จะอธิบายหรือแลกกับชีวิตคน
ทุกคนมีบ้าน มีญาติ มีลูก มีพ่อแม่พี่น้องเหมือนกับคนที่ก่อเหตุ ความสูญเสียแบบนี้สร้างบาดแผลและความเจ็บช้ำมากเกินไป...
ปฏิบัติการเช่นนี้ หากเป็นเรื่องแบ่งแยกดินแดน คุณแยกดินแดนไปได้ก็ไม่มีวันสงบ เพราะวันหนึ่งที่คุณปรากฏตัวในที่สว่าง ก็จะมีคนที่เคยสูญเสียจากการกระทำของคุณแก้แค้นและเอาคืน
ปฏิบัติการเช่นนี้ หากเป็นฝีมือของพวกสร้างสถานการณ์ผสมโรงไฟใต้จากกลุ่มอิทธิพล ค้ายาเสพติด บ่อนการพนัน ของเถื่อน สถานบริการ คุณก็จะอยู่อย่างไม่มีความสุข และไม่มีทางที่จะทำคนอื่นข้างเดียวได้ตลอดไป
ปฏิบัติการเช่นนี้ ถ้าเชื่อมโยงกับผลประโยชน์ของฝ่ายการเมือง คุณก็จะไม่มีวันประสบความสำเร็จในสนามเลือกตั้ง เพราะความจริงต้องปรากฏไม่วันใดก็วันหนึ่ง
ถึงนาทีนี้คำถามที่พุ่งตรงไปยังรัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงก็คือ ทุกคนต้องการคำตอบที่แท้จริงว่า ประชาชนตาดำๆ กำลังเผชิญกับอะไร สถานการณ์ไฟใต้ที่แท้จริงขณะนี้อยู่ตรงไหน ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครองคุมพื้นที่ได้จริงหรือไม่?
ถ้ามีกลุ่มอิทธิพลหรือฝ่ายการเมืองผสมโรงไฟใต้ ก็ต้องแฉออกมาให้ประชาชนได้รู้ จะได้ช่วยกันรับมือและร่วมกันแก้ไขสถานการณ์ต่อไป
หากมีเจ้าหน้าที่รัฐคนใดหากินกับ "ไฟใต้" ก็ต้องเร่งกำจัดออกไป อย่าเสียดายหรือมัวแต่ปกป้องกัน จะย้ายพ้นพื้นที่ หรือสอบสวนดำเนินคดีก็ได้ แล้วแถลงให้ประชาชนทราบ
หรือถ้าเป็นการก่อเหตุสร้างสถานการณ์จากคนในแวดวงเจ้าหน้าที่ด้วยกัน เหมือนกับที่มีข่าวความพยายามจะเลื่อยขาเก้าอี้แม่ทัพภาคที่ 4 ก็ควรจะต้องเร่งสืบหาต้นตอแล้วจัดการ จากนั้นต้องชี้แจงความจริงให้ประชาชนได้รับรู้รับทราบเช่นกัน
หยุดเสียทีกับคำหวานประเภท "กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงเหลือน้อยแล้ว ที่ก่อเหตุอยู่ตอนนี้เพื่อรักษาสถานะ" หรือ "กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงต้องดิ้นรนสร้างสถานการณ์เพื่อตอบโต้รัฐที่ปฏิบัติการประสบความสำเร็จ ดึงมวลชนให้มาร่วมมือกับรัฐได้เป็นจำนวนมาก" ซึ่งเป็นคำตอบที่ พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 ใช้อธิบายมาตลอดในห้วง 1-2 เดือนมานี้
หรือแม้แต่คำพูดของ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (นักเรียนโรงเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 29 นักเรียนโรงเรียนเตรียมทหารรุ่น 13 รุ่นเดียวกับ พล.ท.อุดมชัย) ที่บอกว่า เหตุรุนแรงครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในระยะหลังๆ เป็นยุทธการ "รวมดารา" หรือ "รวมการเฉพาะกิจ" คือใช้แนวร่วมจากหลายๆ พื้นที่มาร่วมกันทำงาน เพราะสมาชิกระดับปฏิบัติการเหลือน้อยเต็มทีนั้น ก็น่าจะต้องถึงเวลาทบทวน
เพราะ "รวมการเฉพาะกิจ" มันต้องมีนานๆ ครั้ง ไม่ใช่ถี่ยิบ 3 ครั้งต่อสัปดาห์แบบที่เป็นอยู่ แถมยังเป็นเหตุรุนแรงในเขตเมืองที่มีการวางมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดอีกด้วย
เช่นเดียวกับฝ่ายการเมืองอย่าง นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็ควรหยุดพูดเสียทีว่ารัฐบาลมาถูกทาง สถานการณ์ดีขึ้นถึงขั้นสามารถยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินได้แล้ว (เพิ่งยกเลิกไปอำเภอเดียวจาก 33 อำเภอ) เพราะการมาทุ่มสร้างภาพความสำเร็จกันช่วงนี้ ชาวบ้านเขาดูออกว่าเป็นความพยายามหาเสียง เนื่องจากใกล้เลือกตั้ง!
ถึงเวลาหรือยังที่รัฐบาลตลอดจนฝ่ายความมั่นคง โดยเฉพาะ "กองทัพบก" ต้องออกมายอมรับความจริง ความผิดพลาด และปรับยุทธศาสตร์ ยุทธการใหม่เสียใหม่ เบื้องต้นเอาแค่ป้องกันเหตุร้ายให้ได้ผลดีกว่านี้ก่อนก็พอ
ประชาชนอยากเห็นภาพการเรียกประชุมนายทหารฝ่ายเสนาธิการที่เก่งๆ จากทั่วประเทศ ซึ่งเรียนจบโรงเรียนเสนาธิการปีละเป็นร้อยคน มาระดมสมองกันวางยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี เพื่อต่อสู้กับโจรก่อความไม่สงบ (ซึ่งน่าจะยกระดับเรียกว่าเป็นการก่อการร้ายได้แล้ว เพราะความถี่น่าจะมากกว่าอิรักด้วยซ้ำ แม้ขนาดของความเสียหายจะยังไม่เท่าก็ตาม)
เพราะถึงนาทีนี้ต้องยอมรับความจริงแล้วว่า การใช้กองกำลังขนาดใหญ่จากกองทัพต่างๆ ออกลาดตระเวน ตั้งฐาน ตั้งด่าน ตรึงพื้นที่ และรักษาความปลอดภัย (รปภ.) นั้น ไม่สามารถ "ต่อกร" หรือแม้แต่ "ป้องกัน" การก่อเหตุรุนแรงในรูปแบบของการก่อการร้ายและสงครามกองโจรได้เลย
ผมเคยคุยกับนายทหารที่ศึกษาเรื่องนี้ เช่น พล.ท.พีระพงษ์ มานิกิจ อดีตโฆษกกระทรวงกลาโหม (เคยให้สัมภาษณ์ในเว็บอิศรา) แกบอกว่าถ้าแกเป็นหัวหน้าโจรในพื้นที่แกสบาย เพราะกำลังจากส่วนกลางที่ส่งลงมาเท่าไหร่ก็ไม่มีทางพอ วันนี้ระเบิดเสาไฟฟ้า พรุ่งนี้ระเบิดรถไฟ วันต่อไปเผาโรงเรียน ฯลฯ กองกำลังขนาดใหญ่ก็จะถูกแตกย่อยเป็นชุดเล็กๆ เพื่อ รปภ.จุดที่เคยเกิดเหตุ (เหมือนที่ พล.อ.พิเชษฐ์ วิสัยจร อดีตแม่ทัพ บอกว่าในหนึ่งวันทหารต้องทำ 2,400 ภารกิจ) ไปๆ มาๆ ทหารแต่จะชุดที่โดนโจมตีอาจมีจำนวนน้อยกว่าโจรด้วยซ้ำไป
กรณี 6 คนร้ายดักสังหารชุดคุ้มครองพระเสียชีวิต 2 นายกลางเมืองยะลา เมื่อเช้าตรู่วันที่ 18 ธ.ค.2553 เป็นตัวอย่างที่ดี
หรือข้อเขียนที่ชื่อ "บทเรียนจากการรบ" ของ พล.อ.หาญ ลีนานนท์ อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 ที่เขียนเอาไว้เกือบ 20 ตอน หลายตอนก็มีข้อเสนอเกี่ยวกับการจัดรูปกำลังพลและชุดลาดตระเวน ซึ่งสวนทางกับการจัดวางกำลังโดยผู้นำกองทัพในยุคปัจจุบันนี้ ก็น่าหยิบขึ้นมาพิจารณาหรือปรับไปทดลองใช้ดูบ้าง เผื่อสถานการณ์จะดีกว่าที่เป็นอยู่
ถึงเวลาแล้วที่จะต้องมารื้อยุทธการกันใหม่หมด เพราะถ้าหยุดความรุนแรงบนท้องถนนไม่ได้ การเดินหน้าพัฒนา ลงทุน ฟื้นฟูการท่องเที่ยว หรืออะไรก็ตามแต่มันก็เกิดได้ยาก ผู้คนก็จะอพยพย้ายออก ดินแดนนี้ก็จะกลายเป็นสวรรค์ของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงและกลุ่มอื่นๆ ที่มีผลประโยชน์ร่วม
อีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะฝากไว้คือเหตุ "ยิงรายวัน" แม้บางช่วงที่ชายแดนใต้จะไม่มีข่าวใหญ่จากเหตุรุนแรงประเภทคาร์บอมบ์ มอเตอร์ไซค์บอมบ์ หรือปล้นฐานทหาร และแม้คนนอกพื้นที่จะไม่รู้ แต่คนในพื้นที่รู้ดีว่ายังมีคนตายและบาดเจ็บจากการถูกไล่ยิงไล่ฆ่าทุกวัน ไม่มีวันหยุด เพียงแต่ไม่เป็นข่าว
หลายๆ กรณีก็เป็นความจงใจอย่างชัดเจน เช่น ยิงชาวบ้านไทยพุทธ 23 ศพใน 16 วัน การดักสังหารคู่สามีภรรยาระหว่างเดินทางไปกรีดยาง 10 คู่ใน 4 เดือน หรือห้วงเวลาเพียงเดือนเศษของปี 2554 เกิดเหตุรุนแรงเฉพาะในพื้นที่ อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี มากถึง 8 ครั้ง เสียชีวิต 13 ราย บาดเจ็บอีก 6 ราย ทั้งพุทธและมุสลิม
นี่ยังไม่นับเหตุลอบวางระเบิดตามสวนยางพารา สวนปาล์ม รวมแล้วเกือบ 50 ครั้ง จนมีผู้เสียชีวิตและพิการอีกจำนวนมากในช่วงไม่กี่เดือนมานี้
ความหวาดกลัวต่อสถานการณ์ และความหวาดระแวงกันเองระหว่างคนต่างศาสนาในพื้นที่กำลังเข้าขั้นวิกฤติ
ขอย้ำอีกครั้งว่าหากรัฐยังไม่สามารถหยุดสถานการณ์เลวร้ายดังที่เป็นอยู่นี้ได้ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้จะถูกแยกดินแดนโดยปริยาย เพราะคนจากนอกพื้นที่ก็ไม่มีใครอยากลงไป ส่วนคนในที่อยู่คนละพวกกับกลุ่มแยกดินแดนก็จะย้ายออก
วันที่กลัวๆ กันนั้นอาจมาถึงในอีกไม่นานนี้แล้ว!