พ.ร.บ.ฟื้นฟูผู้ติดยายื่นดาบตร.ตั้งศาลเตี้ย
กระทรวงยุติธรรม เสนอร่างพ.ร.บ.ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ตติดยาสพติดฉบับใหม่ สาระสำคัญกำหนดให้บุคคลซึ่งผ่านการตรวจหรือทดสอบเบื้องต้นว่า มียาเสพติดอยู่ในร่างกาย และสมัครใจจะขอเข้ารับการฟื้นฟูได้รับการยกเว้นไม่ต้องถูกแจ้งข้อหาเสพยาเสพติด
ภาคประชาชน แสดงความเป็นห่วงว่าร่างกฎหมายดังกล่าว ให้อำนาจตำรวจ โดยที่ไม่มีกระบวนการตรวจสอบการใช้ดุลพินิจของพนักงานสอบสวน โดยเกรงว่าจะเป็นการเปิดช่องให้ตำรวจตั้งศาลเตี้ยขึ้นมาตัดสินประชาชน ซึ่งนั่นเท่ากับเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน และละเมิดรัฐธรรมนูญ
เมื่อเร็วๆ นี้ คณะอนุกรรมการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิ์ด้านเอดส์ มูลนิธิศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์ เครื่อข่ายคนทำงานลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติด ได้ระดมความคิดเห็นเพื่อจัดทำเป็น “ข้อเสนอภาคประชาชน” ต่อการแก้ไขร่างพ.ร.บ.ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด(ฉบับที่…)พ.ศ…. จุดมุ่งหมายเพื่อร่วมผลักดันนโยบายการลดอันตรายจาการใช้สารเสพติด และเพื่อให้การปรับปรุง พ.ร.บ.ดังกล่าวนำไปสู่การปฏิบัติที่เป็นธรรม
สุภัทรา นาคะผิว จากมูลนิธิศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์ ระบุว่า ถือว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่งหากจะให้ตำรวจเป็นผู้สั่งว่าใครควรเข้าสู่กระบวนการบำบัดโดยที่ไม่ผ่านศาล เพราะเท่ากับตัดสินไปแล้วว่าผู้ใช้สารเสพติดกระทำความผิดตามกฎหมาย
ลาวัลย์ สาโรวาท ผู้ประสานงานเครือข่ายคนทำงานลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติด แสดงความเป็นห่วงว่า กฎหมายยาเสพติดที่มีอยู่ บัญญัติให้ผู้เสพมีโทษทางอาญา ซึ่งส่งผลต่อการบริการทั้งด้านการป้องกัน และการดูแลรักษาโรคเอดส์แต่ในทางปฏิบัติรัฐกลับใช้มาตรการปราบปรามจับกุม บังคับบำบัด มากกว่าการส่งเสริม คุ้มครองสิทธิของผู้ใช้หรือผู้เสพยาเสพติด ซึ่งขัดกับหลัก “ผู้เสพยาเสพติด” คือ “ผู้ป่วย” ตาม พ.ร.บ.ฟื้นฟูฯปี 2545
ทั้งนี้ จากการเก็บสถิติของเครือข่ายคนทำงานลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติด พบว่า มีนักโทษในเรือนจำ 60-70% โดนจับในคดียาเสพติด ทั้งที่ส่วนใหญ่เป็นผู้เสพ โดยคนเหล่านั้นเป็นผู้ป่วยควรได้รับการบำบัด แต่ก็พบกับปัญหาอื่นตามมาคือสถานพยาบาลที่จะให้การบำบัดมีไม่เพียงพอ ผู้เสพจึงต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำและเมื่อออกมาก็ยังกลับไปเสพเหมือนเดิม
ขณะที่มุมมองของ นายชฤทธิ์ มีสิทธิ์ ทนายความและหัวหน้าทีมศึกษาทบทวนนโยบายและกฎหมายด้านยาเสพติด กล่าวว่า กฎหมายยาเสพติดที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่เอื้อต่อหลักการสิทธิมนุษยชนและการนำมาตราลดอันตราต่อการใช้ยาเสพติด รวมถึงนโยบายรัฐบาล ในส่วนงานด้านยาเสพติดยังขาดความชัดเจนว่าการปราบปรามหรือเพื่อป้องกันหรือเพื่อบำบัดเนื่องจากผลประเมินสถานการณ์ช่วงเดือนกันยายน 2554 - กุมภาพันธ์ 2555 สามารถจับกุมผู้ค้าได้เพียง 6%จับผู้เสพหรือผู้ครอบครอง ได้มากถึง 80 %
ทนายความท่านนี้ เห็นว่า การเสพยามิใช่การก่อคดีอาญา ที่จะต้องถูกดำเนินคดี เพื่อรับโทษ หากแต่คนเหล่านั้นต้องการได้รับการบำบัดรักษาตามหลักทางการแพทย์และจิตสังคม อีกทั้งควรนิยามไว้ให้ชัดเจนว่า “ผู้เสพ” คือ “ผู้ป่วย” ให้หมายถึงบุคคลซึ่งต้องพึ่งพายาเสพติดควรจะได้รับการปฏิบัติในฐานะผู้ป่วยไม่ใช่อาญากร
เช่นเดียวกันกับ นายจิตรนรา นวรัตน์ อัยการฝ่ายคดียาเสพติด ประจำศาลจังหวัดพระโขนง กล่าวว่า ปัญหาของพ.ร.บ.ฟื้นฟูฯฉบับใหม่ของรัฐบาล ผู้ที่ออกกฎหมายยังเข้าใจคลาดเคลื่อน จะต้องเขียนกฎหมายเพื่อฟื้นฟู ไม่ใช่ดำเนินคดีผู้เสพ ตามหลักการผู้เสพต้องหายภายใน 6 เดือนถ้าไม่หายต้องรักษาเพิ่มอีก
นายจอน อึ้งภากรณ์ ผู้ก่อตั้ง มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ แสดงเป็นห่วงว่า ร่างพ.ร.บ.นี้ของรัฐบาลแล้วรู้สึกเป็นห่วงเพราะที่ผ่านมา ผู้ใช้ยาเป็นกลุ่มที่ถูกกลั้นแกล้งจากตำรวจตลอดเวลา ส่วนผู้ที่ถูกสงสัยอำนาจต่อรองจะมีน้อยมาก และไม่มีกลไกตรวจสอบจากศาล ว่าเขาได้รับความยุติธรรมหรือไม่ รวมถึงสถานบำบัดที่มีอยู่ปัจจุบันไม่ได้มาตรฐาน ดังนั้น การบำบัดตามร่างพ.ร.บ.ใหม่นี้จึงเป็นแบบลวกๆ แต่ทำให้รัฐบาลดูดี เพราะฉะนั้นร่างนี้ถือว่ามีปัญหาแน่นอนจึงต้องร่วมกันคัดค้านไม่ให้ผ่านสภา
