"จุฬาราชมนตรี" ปลุก "ครอบครัว-มัสยิด" สร้างเกราะป้องกันยาเสพติดระบาดใต้
“ยาเสพติด-อิทธิพลมืด” กำลังเป็นวลีที่จะได้ยินบ่อยครั้งขึ้นในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้นับจากนี้ เพราะรัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงเริ่มเห็นตรงกันว่า “ปัญหาสังคม” ในพื้นที่เข้าขั้นวิกฤติไม่แพ้ปัญหาความรุนแรง หนำซ้ำ “ยาเสพติด-ธุรกิจผิดกฎหมาย” ได้กลายเป็น “อำนาจเถื่อน” ที่ร่วมผสมโรงความรุนแรงด้วยในหลายครั้งหลายครา
ล่าสุด พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 ได้จับมือกับ นายอาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรี เดินหน้าโครงการแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่ ใช้ชื่อว่า “มัสยิดสานใจ ต้านภัยยาเสพติด” ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ฝ่ายความมั่นคงกับฝ่ายศาสนาจับมือกันทำโครงการลักษณะนี้ และมองเห็นร่วมกันว่า ปัญหายาเสพติดจะต้องเป็น “วาระภาคใต้” เพื่อเร่งสะสาง เพราะทั้งยาบ้า กัญชา และน้ำใบกระท่อม ระบาดเข้าไปทุกชุมชนหมู่บ้านแล้ว
แค่ “โครงการญาลันนันบารู” ที่นำเด็กเยาวชนกลุ่มเสี่ยงไปเข้าอบรม คงเอาไม่อยู่และไม่เพียงพออีกต่อไป!
นายอาศิส พิทักษ์คุมพล กล่าวในโอกาสเปิดโครงการมัสยิดสานใจต้านภัยยาเสพติดต่อหน้าโต๊ะอิหม่ามนับพันคน ซึ่งสาระที่สื่อสารผ่านท่านจุฬาราชมนตรีนั้น สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจปัญหาอย่างถ่องแท้ของท่าน และท่านยังเสนอแนวทางแก้ไขเอาไว้อย่างน่าสนใจ ซึ่งเริ่มต้นง่ายๆ ที่ตัวเอง ครอบครัว ชุมชน และมัสยิด
“โครงการมัสยิดสานใจต้านภัยยาเสพติดนับว่าเป็นโครงการที่สำคัญยิ่ง แต่ก็ยังมีความกังวลว่าทุกท่าน (อิหม่าม) จะเข้าใจไม่ตรงประเด็น กลัวจะเข้าใจว่าวันนี้เราจะมาต่อต้านปราบปรามยาเสพติดกัน ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่ใช่ ตรงนั้นไม่ใช่งานของเรา ไม่ใช่หน้าที่ของผู้นำศาสนา ไม่ใช่หน้าที่ของอิหม่ามประจำมัสยิด แต่เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ราชการ เจ้าหน้าที่บ้านเมือง หน้าที่ของตำรวจ หน้าที่ของ ป.ป.ส. (สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด) ซึ่งก็ได้ทำกันมานานตลอดช่วงที่ผ่านมา
ปัญหายาเสพติดนั้นมีผู้ที่เกี่ยวข้องอยู่วง 3 วง วงแรกคือ 'ผู้ผลิต' วงที่สองคือ 'ผู้จำหน่าย' และวงที่ใหญ่ที่สุดนั้นคือ 'ผู้เสพ' ปัญหายาเสพติดจะคลี่คลายก็ต่อเมื่อเราแยกสามวงนี้ออกห่างกัน ให้ผู้ผลิต ผู้ซื้อ ผู้ขายเข้ามาประสานกันไม่ได้ หรือให้ผู้ขายหรือผู้ซื้อปฏิสัมพันธ์กันไม่ได้ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่ทำยากมาก ผู้ผลิตนั้นมีวงเล็กนิดเดียวไม่มาก วงที่ใหญ่กว่านั้นก็คือวงผู้จำหน่ายและวงที่ใหญ่ที่สุดคือผู้เสพ
การที่เราดำเนินโครงการมัสยิดสานใจต้านภัยยาเสพติด ผมต้องขอชื่นชมท่านแม่ทัพ แต่ผมก็ยังกังวลกับปัญหาในพื้นที่ของบ้านเรา นั่นก็คือปัญหายาเสพติด ซึ่งมันมีช่องว่างเป็นจำนวนมาก หนึ่งในนั้นคือปัญหาเรื่องความไม่สงบ ซึ่งทำให้ปัญหายาเสพติดเข้ามาได้เต็มที่ ผมบอกกับท่าน (แม่ทัพ) ว่าช่วยหน่อยเถอะ แล้วท่านก็มาทำโครงการนี้
แต่โครงการมัสยิดสานใจต้านภัยยาเสพติด ไม่ได้หมายความว่าจะให้พวกเรา (อิหม่าม-ผู้นำศาสนา) ไปให้ข้อมูลข่าวสาร แต่บทบาทของผู้นำศาสนาก็คือการให้ความคิดต่อพื้นที่ ต่อคนในชุมชน เพราะศูนย์กลางของพี่น้องมุสลิมนั้นคือมัสยิด จิตวิญญาณของมัสยิดอยู่ที่ไหน จิตวิญญาณของมัสยิดอยู่ที่ผู้นำ อยู่ที่อิหม่ามหรือคอเต็บ ฉะนั้นอิหม่ามและคอเต็บต้องเป็นคนที่ให้ความรู้ หากอิหม่ามมีการเคลื่อนไหวก็จะทำให้ประชาชนรอบๆ นั้นเคลื่อนไหวตามไปด้วย แต่ถ้าจิตวิญญาณของมัสยิดนอนหลับ อะไรจะเกิดก็ช่าง ไม่ได้หันไปดูทางซ้าย ขวา หน้า หลัง คนก็จะพาหลับใหลกันไปด้วย นี่จึงเป็นสิ่งสำคัญของการเป็นศูนย์กลางในชุมชน
อีกส่วนหนึ่งคือ “ครอบครัว” ถือว่ามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง เพราะชีวิตเริ่มต้นในครอบครัว การแก้ปัญหาก็ต้องเริ่มต้นจากครอบครัว สร้างความตระหนักให้ครอบครัวได้รู้ว่าถ้ามีคำถามที่ต้องตอบกับพระเจ้าในการดูแลและการบริหารครอบครัวของท่าน ลูกท่านได้กินอาหารครบมื้อหรือไม่ และเมื่อกินอาหารครบมื้อแล้วได้มีการศึกษาหรือไม่อย่างไร เหมือนพระราชดำรัสของในหลวงที่ว่าการเรียนรู้นั้นเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นความรู้ทางสามัญ ความรู้ด้านอาชีพ ตลอดจนความรู้ศาสนา ท่าน (หัวหน้าครอบครัว) ได้ทำอะไรบ้างในสิ่งเหล่านี้ ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ท่านต้องตอบอัลเลาะฮ์
ครอบครัวเปรียบเสมือนเกราะกำบังสำคัญที่สุดในชีวิตที่เติบโตมา ถ้าครอบครัวมีช่องโหว่ ไม่สามารถเป็นเกราะกำบังได้ สิ่งไม่ดีทุกอย่างก็จะเข้ามา แต่ถ้าทุกครอบครัวมีการปลูกฝังที่ดี ผมเชื่อว่ายาเสพติดจะไม่สามารถเข้ามาทำลายความร่มเย็นเป็นสุขในครอบครัวได้
การทำลายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการทำลายสังคมมนุษย์ทุกวันนี้ ไม่มีอะไรร้ายแรงเท่าการทำลายสติสัมปชัญญะของคน เพราะนั่นคือการทำลายอย่างถึงที่สุดแล้ว และได้ทำลายทุกอย่าง ท่านมีทรัพย์สินเท่าไหร่ ท่านมีวิชาความรู้เท่าไหร่ ถ้าสติสัมปชัญญะถูกทำลายก็จบในความเป็นมนุษย์
วันนี้สิ่งไม่ดีต่างๆ เข้ามาเผยแพร่ และต้องยอมรับว่าลูกหลานของเราเก่งจริงๆ ไม่ได้เรียนวิทยาศาสตร์แต่สามารถผลิตยา (ยาเสพติด-น้ำใบกระท่อม) ได้ สามารถฉีดยาได้ เพราะฉะนั้นถ้าเราปล่อยปละละเลย ไม่ตระหนัก ไม่มีความรับผิดชอบ ปัญหาจะยิ่งรุนแรง
ฉะนั้นขอชื่นชมฝ่ายที่เกี่ยวข้องที่พยายามนำครอบครัวเข้ามามีบทบาท เพราะถ้าหากครอบครัวละเลย การจะแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนคงเป็นไปได้ยากมาก ด้วยเหตุนี้ในบทบาทของผู้นำศาสนาและมัสยิดคือต้องสร้างความตระหนักให้กับครอบครัว ให้ได้เห็นถึงภัยอันตราย ได้ลุกขึ้นมาสร้างเกราะป้องกันคนในครอบครัวของตนเอง”
------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ :
1 นายอาิศิส พิทักษ์คุมพล (ภาพโดย เลขา เกลี้ยงเกลา)
2 บรรยากาศในวันแถลงข่าวเปิดโครงการมัสยิดสานใจต้านภัยยาเสพติด (ภาพโดย สมศักดิ์ หุ่นงาม)