จี้เอฟทีเอไทย-ยุโรป ห้ามนำข้อพิพาทลงทุนสาธารณะเข้าชั้นอนุญาโตตุลาการ
FTA Wacth ค้านเอฟทีเอไทย-อียู จี้ห้ามนำข้อพิพาทรัฐและเอกชนเกี่ยวกับการลงทุนสาธารณะ-สิ่งแวดล้อม-สาธารณสุข-ความมั่นคง สู่ชั้นอนุญาโตตุลาการ เอกชนย้ำต้องเขียนกติกาให้ชัดป้องกันยึดทรัพย์ทางอ้อม
วันที่ 22 พ.ค. 56 กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch) ร่วมกับเครือข่ายองค์กรประชาชนติดตามตรวจสอบการค้าเสรี จัดเสวนา ‘ชีวิตไม่ใช่สินค้า จับตาการค้าเสรี:คุ้มครองการลงทุนที่เป็นธรรมกับประชาชน’ ณ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค
ดร.ชิงชัย หาญเจนลักษณ์ ประธานสภาธุรกิจไทย-ยุโรป กล่าวว่า หากการเจรจาเอฟทีเอเกิดขึ้นจะมีประโยชน์ต่อนักธุรกิจไทยที่เข้าไปลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ เช่น ปตท. เอสซีจี หรือเครือสหพัฒน์ แต่เอฟทีเออาจจะไม่เอื้อต่อการลงทุนในต่างประเทศสำหรับกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) จึงยืนยันได้ว่า “เอฟทีเอจะมีประโยชน์กับไทยที่เข้าไปลงทุนในต่างชาติมากกว่าต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทย”
นายฮิวจ์ วนิชประภา สมาคมการค้าไทย-ยุโรป กล่าวว่า การพัฒนาคุ้มครองการลงทุนนั้นอาจเป็นส่วนหนึ่งที่สามารถดึงดูดกระแสลงทุนจากต่างชาติ ทั้งที่ความจริงยังมีเรื่องฝีมือแรงงาน ตลาด วิชาการ และภูมิศาสตร์ของไทยที่สำคัญจนเป็นปัจจัยหนึ่งในการดึงดูดได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือการพัฒนาขีดความสามารถการแข่งขันระดับประเทศ โดยเฉพาะมุมของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) เพื่ออนาคตไทยจะได้มีอำนาจต่อรองกับอียูมากขึ้นในแง่ของเอฟทีเอ
กรรณิการ์ กิจติเวชกุล กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch) กล่าวว่า นิยามการลงทุนในเอฟทีเอกว้างเกินไป เช่น เรื่องทรัพย์สินทางปัญหา โดยจะเห็นว่าหากมีการละเมิดด้านทรัพย์สินทางปัญญาก็สามารถไปศาลทรัพย์สินทางปัญญาได้ แต่ปรากฏว่าจะต้องนำไปให้อนุญาโตตุลาการนอกประเทศตัดสิน ซึ่งเรากำลังกังวลว่าทรัพย์สินทางปัญญา การตลาด การโฆษณา ก็ถือว่าอยู่ในนิยามการลงทุน
อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอของเราที่ผ่านมาในการรับฟังความคิดเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมาได้ทำข้อมูลถึงรัฐบาล และอยู่ในเล่มที่เข้าครม.เมื่อ 4 ธ.ค. แต่ไม่มีคนอ่าน ซึ่งประเด็นเหล่านี้เป็นเรื่องที่น่าห่วงใยไม่สมควรเข้าชั้นอนุญาโตตุลาการเพื่อระงับข้อพิพาทของรัฐและเอกชนในนโยบายที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและสังคม
“การเจรจาเรื่องนี้ไม่ใช่ไม่ให้ใช้ ใช้ได้ แต่ต้องเขียนให้ชัดว่าเรื่องไหนที่ฟ้องไม่ได้ คือ เรื่องที่เกี่ยวกับข้อพิพาทการลงทุนสาธารณะ การออกมาตรการคุ้มครองผลประโยชน์สาธารณะ การคุ้มครองสิ่งแวดล้อม สาธารณสุข สาธารณูปโภคพื้นฐาน ความมั่นคง ที่ไม่ให้เข้าสู่อนุญาโตตุลาการ” กรรณิการ์ กล่าว
ดร.บัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ ผอ.สถาบันธรรมรัฐเพื่อสิ่งแวดล้อมเพื่อสังคม กล่าวว่า วิธีการที่ไทยจะไม่ตกอยู่ในการระงับข้อพิพาทของอนุญาโตตุลาการนั้น ซึ่งเป็นเหตุต่อการยึดทรัพย์ทางอ้อม ไทยจะต้องมีกติกาเป็นของตนเอง และกระทรวงพาณิชย์ต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับแวดล้อมด้านการค้ามากกว่าประเทศอื่น ทั้งเรื่องของยา สิ่งแวดล้อม โดยวิธีการเขียน เช่น “อย่างน้อยสิ่งเหล่านี้ในรายการต่อไปนี้จะไม่ถือว่าเป็นการยึดทรัพย์ทางอ้อม เช่น การปฏิเสธไม่ให้สิทธิบัตรหรือการขึ้นทะเบียนยาต้องไม่เป็นเหตุการณ์ยึดทรัพย์ทางอ้อมและนำไปสู่ข้อพิพาท”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตัวแทนภาคเอกชนและเอ็นจีโอต่างมีความเห็นตรงกันควรกำหนดกติกาเอฟทีเอที่ชัดเจน เพื่อป้องกันการยึดทรัพย์ทางอ้อมหากเกิดกรณีพิพาทขึ้น ทั้งนี้จะต้องไม่นำคดีพิพาทเข้าสู่อนุญาโตตุลาการด้วย
