"วันหยุดชดเชย" มาจากไหน?
ขึ้นชื่อว่า “วันหยุด” เป็นใครก็ต้องชอบ โดยเฉพาะเหล่ามนุษย์เงินเดือนหรือมนุษย์ออฟฟิศทั้งหลาย ที่จะได้มีเวลาพักผ่อนจากหน้าที่การงาน
และยิ่งเป็น “วันหยุดชดเชย” ก็ยิ่งเป็นที่โปรดปราน เพราะจะได้หยุดเพิ่มในวันธรรมดาอีกหนึ่งวัน เช่น บังเอิญปีนั้นวันมาฆบูชาตรงกับวันเสาร์ ก็จะได้หยุดชดเชยในวันจันทร์อีกวัน...เรียกว่ามีแต่ได้กับได้
แล้วทำไมต้องหยุดชดเชย? วันหยุดชดเชยมาจากไหน?
สำหรับ “วันหยุดชดเชย” ซึ่งหมายถึงวันหยุดชดเชยวันหยุดราชการประจำปี (ไม่นับวันหยุดของงรัฐวิสาหกิจหรือธนาคาร) ในปัจจุบันนั้น ได้ยึดหลักการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ พ.ศ.2544 ว่า
กรณีวันหยุดราชการประจำปีวันใดตรงกับวันหยุดราชการประจำสัปดาห์ ให้เลื่อนวันหยุดราชการประจำปีวันนั้นไปหยุดในวันทำการถัดไป โดยให้หยุดชดเชยได้ไม่เกิน 1 วัน
ทั้งนี้ เป็นอำนาจของคณะรัฐมนตรีที่จะพิจารณาประกาศกำหนดให้งดวันหยุดชดเชยหรือเปลี่ยนวันหยุดชดเชยได้ตามความเหมาะสม (มติ ครม. 3 ก.พ. 2547)
รวมถึงกำหนดวันหยุดราชการเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษได้ เช่น ที่กำหนดให้วันที่ 12 เมษา ปีนี้ (2556) เป็นวันหยุดราชการเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางกลับภูมิลำเนา เทศกาลสงกรานต์ปีนี้คนไทยจึงได้หยุดยาวถึง 5 วัน
ย้อนไปก่อนที่หลักการกำหนดวันหยุดชดเชยจะคงที่ตามมติ ครม.เมื่อปี 2544 มาจนถึงปัจจุบัน ในสมัยอดีตมีการเปลี่ยนแปลงกลับไปกลับมาหลายครั้งอยู่เหมือนกัน
เช่น เมื่อ ปี 2501 ซึ่งวันจักรีตรงกับวันอาทิตย์ ครม.สมัยนั้นก็มีการพิจารณาว่าควรจะหยุดราชการวันจักรีในวันที่ 7 “ชดใช้ให้ดีหรือไม่” ก็ปรากฏว่า ยังไม่สมควรหยุดราชการชดใช้ให้
ต่อมา ปี 2504 ครม.ให้เลื่อนวันหยุดราชการประจำปีไปหยุดในวันจันทร์ได้ ถ้าบังเอิญตรงกับเสาร์-อาทิตย์ แต่ในปี 2517 ก็ให้ยกเลิกการหยุดชดเชยเสีย
กระทั่งปี 2532 ก็พลิกกลับมาว่า วันหยุดราชการประจำปีวันไหนตรงกับเสาร์อาทิตย์ หากเห็นควรให้หยุดชดเชยเป็นกรณีพิเศษ ก็ให้พิจารณาเป็นคราว ๆ ไป
มติ ครม. ปี 2538 กำหนดหลักการว่า ให้หยุดชดเชยได้เหมือนเดิม (ไม่ต้องพิจารณาเป็นคราว ๆ) และยังกำหนดด้วยว่า ให้มีวันหยุดชดเชยของทางราชการเท่าเทียมกับรัฐวิสาหกิจ ซึ่งต่อมาถูกยกเลิกไปโดยมติ ครม.เมื่อปี 2541 นั่นเอง
โดย ครม.ให้เหตุผลแถมมาข้อหนึ่งด้วยว่า “ประเทศไทยยังไม่พ้นภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ เจ้าหน้าที่รัฐจึงควรตระหนักทุ่มเทการทำงาน เสียสละเพื่อประเทศชาติ” เนื่องจาก มติ ครม.เมื่อปี 2538 “ทำให้มีวันหยุดราชการติดต่อกันหลายวัน ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศ ซึ่งในภาวะเช่นนี้ ทุกฝ่ายควรต้องเร่งปฏิบัติงานเพื่อกอบกู้เศรษฐกิจของประเทศ จึงให้ยกเลิกหลักการวันหยุดชดเชยของทางราชการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2538...”
ด้วยเหตุนี้ ประเทศไทยจึงมีวันหยุดชดเชยตามสมควร แถมยังได้ลุ้นอีกว่าปีไหนรัฐบาลจะใจดี ประกาศวันหยุดราชการเพิ่มให้อีก ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลมักเพิ่มวันหยุดให้ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ และเทศกาลปีใหม่
อย่างนี้จึงสบโอกาสคนที่จะลาหยุดงาน สามารถวางแผนใช้สิทธิ์ลาหยุด โดยเลือกเอาวันก่อนหรือหลังวันหยุดชดเชยวันหยุดราชการ ทำให้มีวันหยุดต่อเนื่องหลายวัน บางคนบางปี ในบางเทศกาล จึงได้หยุดยาวเป็นสัปดาห์ สบายไป
ซึ่งควรระวังข้อนี้ไว้ด้วยเช่นกัน เพราะคณะรัฐมนตรีเมื่อปี 2544 เขารู้ทัน จึงระบุไว้ด้วยว่า ให้หน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ ถือเป็นนโยบายที่จะต้องเข้มงวดกับการลาก่อน-หลังวันหยุดชดเชย หากลาโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ให้ถือว่า “เป็นผู้ไม่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ราชการ”!
วันหยุดราชการประจำปีของไทยมี 14 วัน (ชื่อวัน) ได้แก่ วันขึ้นปีใหม่ วันมาฆบูชา วันจักรี วันสงกรานต์ (3) วันฉัตรมงคล วันพืชมงคล วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา วันแม่ วันปิยมหาราช วันพ่อ วันรัฐธรรมนูญ วันสิ้นปี โดยมีจำนวนวันหยุด 16 วัน
Hotels.com ผู้ประกอบการด้านการจัดหาห้องพักเผยผลสำรวจจำนวนวันหยุดต่าง ๆ จากกว่า 30 ประเทศทั่วโลก พบว่าจำนวนเฉลี่ยของวันหยุดรวมกันคือ 28 วันต่อปี โดยรัสเซียมีวันหยุดมากถึง 40 วันต่อปี
ขณะที่เว็บไซต์ประเทศไทยอยู่ตรงไหน (http://www.whereisthailand.info) อ้างอิงข้อมูลจากวิกิพีเดียระบุจำนวนวันหยุดของประเทศอื่น ๆ เช่น ซาอุดิอาระเบีย 21 วัน จีน 19 วัน ญี่ปุ่น 15 วัน มาเลเซีย 11 วันสหรัฐอเมริกา 10 วัน เยอรมนี 9 วัน
เห็นอย่างนี้แล้วที่เคยมีเสียงค่อนขอดกันว่า ประเทศไทยมีวันหยุดมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก ก็เห็นจะไม่จริง
(ที่มาภาพ: http://bit.ly/17rVr5g)