จับตา กทค.ปล่อยผี “บ.เครือทรู” อ้างไม่เจตนาทำผิด กม.โทรคมนาคม

เป็นมหากาพย์ ยืดเยื้อยาวนาน สำหรับ กรณี บริษัท บีเอฟเคที (ประเทศไทย) จำกัด หรือ "BFKT" บริษัทลูกของ บริษัท ทรูคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ "True" ทำสัญญาเกี่ยวกับการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รูปแบบใหม่ บนคลื่นความถี่ 800 MHz กับ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ "CAT" ที่ถูกตรวจสอบจากหลายหน่วยงาน ทั้งจากคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ของวุฒิสภา คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
รวมถึงคณะกรรมการกิจการเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ที่ตรวจสอบการว่าการให้บริการของ BFKT เข้าข่ายขัดต่อมาตรา 67 ของ พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544 หรือไม่
โดยมีประเด็นสำคัญที่ กสทช.ต้องหาความชัดเจนให้ได้ ก็คือ BFKT ที่ประกอบ “กิจการให้เช่าเครื่องและอุปกรณ์วิทยุคมนาคมเพื่อให้บริการโทรศัพท์มือถือ” โดยมีลูกค้าคือ CAT เข้าข่ายการประกอบ “กิจการโทรคมนาคม” ซึ่งขอใบอนุญาตประกอบกิจการ หรือ “ไลเซ่นส์” ตามมาตรา 7 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544 หรือไม่
เพราะถ้าใช่ ก็อาจจะแปลได้ว่า ที่ผ่านมา BFKT ประกอบกิจการโดย "ไม่มีไลเซ่นส์" มาตลอด เข้าข่ายความผิดตามมาตรา 67 ของ พ.ร.บ.ฉบับเดียวกัน
ซึ่งล่าสุด กสทช.กำลังจะได้ “บทสรุป” แล้วว่า สำนักงาน กสทช.โดยคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) จะตัดสินใจร้องทุกข์กล่าวโทษกับ BFKT หรือไม่ !?
เพราะนับจากที่ประชุม กทค.ได้ตีกลับผลการศึกษาของคณะทำงานที่มี “องอาจ เรืองรุ่งโสม” เป็นหัวหน้าคณะ ที่เสนอมาให้พิจารณา เมื่อวันที่ 17 ม.ค.2556 โดยอ้างว่ารายงานดังกล่าวมีข้อความขัดแย้งกัน และอยากให้คณะทำงานไปศึกษาเพิ่มเติม ใน 4 ประการ พร้อมเสนอให้เลขาธิการ กสทช.ทำความเห็นประกอบ
โดย 4 ประเด็นที่ กทค.ต้องการให้คณะทำงานศึกษาเพิ่มเติมประกอบด้วย
1.กรณีที่คณะทำงานระบุว่า BFKT ขาด “เจตนากระทำผิด” มาตรา 67 (3) พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544 เรื่องการประกอบกิจการโทรคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ในส่วนวิเคราะห์ของคณะทำงานฯ กลับระบุว่า การที่ BFKT นำโครงข่ายโทรศัพท์มือถือมาให้ CAT เช่า ต้องได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม ประเภทที่ 3 ซึ่งขัดแย้งกันเอง
2.กสทช. หรือคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ยังไม่เคยมีแนวนโยบายที่ชัดเจนว่า การให้เช่าเครื่องหรืออุปกรณ์โทรคมนาคมเป็น “การประกอบกิจการโทรคมนาคม” หรือไม่ แต่ในส่วนวิเคราะห์ของคณะทำงานฯ กลับระบุว่า จะต้องได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม ประเภทที่ 3
3.คณะกรรมการกฤษฎีกาเคยมีความเห็นไว้ในเรื่องเสร็จที่ 498/2546 ว่าการให้เช่าเครื่องหรืออุปกรณ์โทรคมนาคมแก่ “บุคคลอื่น” เพียงรายเดียว (BFKT ให้ CAT เช่ารายเดียว) มิใช่การให้บริการโทรคมนาคมแก่ “บุคคลอื่นทั่วไป” ตามมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544 แต่คณะทำงานฯ กลับอ้างว่าความเห็นดังกล่าว เกิดขึ้นก่อนมี พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ.2553 ซึ่งคณะทำงานฯ ต้องให้กระจ่างชัดในเรื่องนี้
และ 4.ในรายการดังกล่าวไม่ปรากฏผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริต และเสริมสร้างธรรมภิบาล วุฒิสภา รวมถึงมติ แนวทางปฏิบัติ และการตรวจสอบของ กทช.ในส่วนที่เกี่ยวข้อง
“คณะทำงานจึงต้องไปรวบรวมข้อมูลเหล่านี้เพิ่มเติมเพื่อประกอบการพิจารณาวินิจฉัยของ กทค. เพื่อให้มีข้อมูลที่ครบถ้วนประกอบการตัดสินใจ เนื่องจากเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของสาธารณชน และจะเป็นบรรทัดฐานในการดำเนินการต่อไปในเรื่องอื่นที่เกี่ยวข้อง” มติของ กทค.วันดังกล่าวระบุ
กระทั่ง เมื่อวันที่ 22 ก.พ.2556 คณะทำงานได้ส่งรายงานผลการศึกษาที่มีการปรับปรุงแก้ไขแล้วมายัง กทค. ก่อนที่ช่วงต้นเดือน ม.ค.2556 เลขาธิการ กสทช.ได้ทำความเห็นประกอบ
ทั้งนี้ มีความเป็นไปได้ที่จะนำเข้าพิจารณาในที่ประชุม กทค.ช่วงต้นเดือน เม.ย.2556 !
โดยรายงานของคณะทำงานฉบับปรับปรุงแก้ไขแล้ว มีทั้งหมด 18 หน้า มีสาระสำคัญ ดังนี้
1.คณะทำงานขอเรียนว่า การกระทำของ BFKT เข้าข่ายประกอบกิจการโทรคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ยังไม่ปรากฏเจตนาที่เข้าข่ายกระทำความผิดทางอาญา ทั้ง 2 ส่วนจึงมิได้ขัดแย้งกันแต่อย่างใด
โดยรายงานของ กมธ.ของวุฒิสภา ก็ระบุว่าการดำเนินการของ BFKT อาจขัดต่อ พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ.2553 แต่รายงานดังกล่าวมิได้มีข้อสรุปที่ชัดเจนว่าการกระทำของ BFKT ขัดต่อกฎหมาย
ทั้งนี้ การดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษ อาจพิจารณาดำเนินการได้ 2 แนวทาง คือ (1) ดูว่าเข้าข่ายผิดกฎหมายหรือไม่ โดยไม่ต้องดูเจตนา และ (2) ดูว่าเข้าข่ายผิดกฎหมายหรือไม่ และต้องดูเจตนาด้วย ซึ่งคณะทำงานเห็นว่าแนวทางที่ 2 จะเหมาะสมและเป็นธรรมที่สุด
2.BFKT จะต้องได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมหรือไม่ คณะทำงานเห็นว่าการให้เช่าเครื่องและอุปกรณ์โทรคมนาคม และ "มีการบริหารจัดการเครื่องและอุปกรณ์โทรคมนาคม" จะต้องขออนุญาต “ประกอบกิจการโทรคมนาคม” ตามนัยมาตรา 67 ประกอบมาตรา 7 ของ พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544 ซึ่ง BFKT มิได้ดำเนินการดังกล่าว
3.คำจำกัดความ “การประกอบกิจการโทรคมนาคม” ตามมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544 ซึ่งบัญญัติว่าจะต้องให้บริการแก่ “บุคคลอื่นทั่วไป” ปัจจุบันยังไม่มีคำพิพากษาของศาลใด หรือความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า วินิจฉัยเป็นบรรทัดฐานถึงความหมายของคำว่า “บุคคลอื่นทั่วไป” ที่ BFKT ยกความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาตามเรื่องเสร็จที่ 498/2546 และคำชี้ขาดข้อพิพาทของ กทช.ที่ 2/2553 ยังไม่อาจใช้เป็นบรรทัดฐานเทียบเคียงได้ เพราะทั้ง 2 กรณีมิได้มีข้อวินิจฉัยความหมายของคำว่า “บุคคลอื่นทั่วไป”
นอกจากนี้ เมื่อดูจากเจตนารมณ์ใน พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ.2553 อาจสรุปได้ว่า “การประกอบกิจการโทรคมนาคม” หมายถึง การประกอบกิจการแก่บุคคลอื่น ที่มิใช่ทำเพื่อใช้เอง และมีอำนาจบริหารจัดการ ที่สามารถสร้างผลกระทบต่อการแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม หรือสามารถสร้างผลกระทบต่อประโยชน์สาธารณะ
4.อย่างไรก็ตาม คณะทำงานยังได้พิจารณาถึงผลกระทบต่อ กทค.กรณีหากเห็นด้วยกับข้อเสนอของคณะทำงานฯ ที่ว่าในชั้นนี้ยังไม่ต้องมีการร้องทุกข์กล่าวโทษต่อ BFKT
-กทค.และสำนักงาน กสทช.อาจถูกกล่าวหาว่ามีความผิดฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ตามกฎหมายอาญา มาตรา 157 ที่มีระวางโทษจำคุก 1-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2 พัน-2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
-กทค.และสำนักงาน กสทช.อาจถูกตรวจสอบจากหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบ เช่น วุฒิสภา คณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นต้น
-ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอาจฟ้อง กทค.และสำนักงาน กสทช.
ด้าน “ฐากร ตัณฑสิทธิ์” เลขาธิการ กสทช.ทำความเห็นประกอบจำนวน 7 หน้า มีสาระสำคัญว่า
ตามรายงานของคณะทำงาน BFKT ขาดเจตนาในการกระทำผิดกฎหมายอาญา เนื่องจาก BFKT เข้าใจว่า การดำเนินกิจการของตน เป็นการปฏิบัติตามสัญญาเช่าเครื่องและอุปกรณ์วิทยุคมนาคมเพื่อให้บริหารโทรศัพท์มือถือ ที่มีสิทธิและอำนาจที่จะดำเนินการตามสัญญาที่ทำไว้กับ CAT เมื่อปี 2554 โดยสัญญาดังกล่าวได้ผ่านการพิจารณาของอัยการสูงสุด ซึ่งเห็นว่าไม่เป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ.2553 นอกจากนี้ BFKT ยังเทียบเคียงการดำเนินการของตนกับคณะเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา ตามเรื่องเสร็จที่ 498/2546
และที่ผ่านมา ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องนิยามของคำว่า “การประกอบกิจการโทรคมนาคม” ตามมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544 โดย กสทช.ยังไม่ได้วางแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนในเรื่องนี้
ประกอบกับ กทค.และสำนักงาน กสทช.เป็นหน่วยงานของรัฐ การจะร้องทุกข์กล่าวโทษทางอาญากับผู้ใด จะดูเฉพาะข้อกฎหมายไม่ได้พิจารณาถึงเจตนามิได้ หาก กทค.หรือสำนักงาน กสทช.ไปดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษ BFKT ก็อาจเข้าข่ายแจ้งความเท็จตามกฎหมายอาญา มาตรา 137 และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157 รวมถึงความผิดตามกฎหมายแพ่ง มาตรา 420 และ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539
“ด้วยเหตุนี้ผมจึงเห็นว่ากากระทำของ BFKT ไม่เข้าข่ายความผิดตามมาตรา 67 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544” เลขาธิการ กสทช.ระบุ
น่าสนใจว่า ที่ประชุม กทค.จะดำเนินการอย่างไรกับบริษัทในเครือ True ยักษ์ใหญ่มือถือไทย บริษัทนี้อย่างไร?
แต่แว่วว่า กรรมการ กทค.หลายคนอาจตัดสินใจ “ไม่ดำเนินคดี” โดยยึดความเห็นของเลขาธิการ กสทช.ที่อ้างว่า BFKT “ขาดเจตนาในการกระทำผิดกฎหมาย” !!
