นักวิชาการจี้รัฐรื้อผังเมือง แก้ไขน้ำท่วมแบบยั่งยืน
นักวิจัยจุฬา ชี้รัฐใช้งบแก้ปัญหาน้ำท่วมและการบริหารจัดการน้ำไปแล้วกว่า 8 แสนล้านบาท แต่กลับไม่มีมาตรการจัดการผังเมือง อนาคต เผยหากเกิดภัยพิบัติอีกครั้งจะเสียหายมากกว่าเดิมถึง 30 เท่าตัว
วันที่ 26 มี.ค.56 ที่ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีการจัดเสวนาวิชาการเรื่อง “รื้อผังเมือง เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมแบบยั่งยืน“ โดยศาสตราจารย์ ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ตนได้ร่วมมือกับทางคณะอนุกรรมาธิการศึกษางบประมาณที่เหมาะสมกับการบริหารจัดการน้ำ วุฒิสภา ทำการศึกษากรณีมหาอุทกภัยปี 2554 กับการบริหารจัดการน้ำของประเทศไทย ซึ่งถือได้ว่ามหาอุทกภัยครั้งดังกล่าวเป็นเหตุการณ์พิบัติภัยครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย และได้สร้างความเสียหายประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท และมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจไทย ทำให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ หรือจีดีพี ในปี2554 ของประเทศลดลงถึง 3.1% และหากเปรียบเทียบกับพิบัติภัยที่ทำความเสียหายมากที่สุดกับประเทศต่างๆ ของโลกตั้งแต่ปี ค.ศ.1965 เป็นต้นมาพบว่า มหาอุทกภัยของไทยปี 2554 จัดอยู่ในอันดับที่ 8 ของโลก ที่ทำความเสียหายมากที่สุด ซึ่งสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ประเทศไทย ได้ความเสียหายมากจากน้ำท่วมครั้งนี้ เพราะในอดีต 50 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทย ไม่ได้มีการเตรียมระบบการป้องกันน้ำท่วมขนาดใหญ่ไว้ อีกทั้งมีการขยายตัวของชุมชนเมืองในลุ่มน้ำท่วมถึง อย่างมากมาย
ศาสตราจารย์ ดร.ธนวัฒน์ กล่าวว่า จากผลการศึกษางบประมาณที่เหมาะสมกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำทั้งก่อนและหลังเกิดวิกฤติการณ์มหาอุทกภัย ปี 2554 พบว่า ประเทศไทยได้ใช้งบประมาณแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและการบริหารจัดการน้ำตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 เป็นต้นมา รวมทั้งสิ้นกว่า 8 แสนล้านบาท (รวมงบประมาณ พ.ร.ก. เงินกู้ 3.5 แสนล้านบาท ) ซึ่งเป็นงบประมาณลงทุนการแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำ จำนวนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย แต่พบว่าไม่มีมาตรการใดๆที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำผังเมืองและการใช้ประโยชน์ที่ดินในอนาคต รวมถึงไม่มีการบังคับใช้กฎหมายใด ๆ ที่จะสามารถควบคุมการใช้ที่ดิน เพื่อเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของประเทศได้
ทั้งนี้หากสภาวะการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลกทำให้มีแนวโน้มก่อให้เกิดพิบัติภัยขนาดใหญ่ของประเทศมีมากขึ้น ปัญหาผังเมืองของประเทศ ไม่สามารถแก้ไขได้และระบบบริหารจัดการเพื่อการลดความเสี่ยงภัยของน้ำท่วมที่ไม่เหมาะสมแล้ว จะส่งให้มหาอุทกภัยในอนาคตมีผลกระทบต่อประชาชนและเกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศมากกว่าน้ำท่วมในปี 2554 ถึง 30 เท่าตัวหรือประมาณมูลค่าความเสียหายมากถึง 30 ล้านล้านบาท ภายในปี พ.ศ. 2613
ศาสตราจารย์ ดร.ธนวัฒน์ ได้ตั้งข้อสังเกตต่างๆ ไว้ 5 ข้อดังนี้ คือ 1. การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำทั้งก่อนและหลังเกิดวิกฤติการณ์มหาอุทกภัย ปี 2554 ประเทศไทยได้ใช้งบประมาณแก้ไขปัญหา ไปแล้ว กว่า 8 แสนล้านบาท การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมส่วนใหญ่ เน้นมาตรการที่ใช้สิ่งก่อสร้างเป็นหลัก แต่พบว่าไม่มีมาตรการใดๆที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำผังเมืองและการใช้ประโยชน์ที่ดินในอนาคต เพื่อการแก้ไขป้องกันและลดความเสียหายของประชาชนอันเกิดจากน้ำท่วมในระยะยั่งยืน
2. ปัญหาผังเมืองของประเทศไทยที่ผ่านมา พบว่าเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้น้ำท่วมมีความรุนแรงและเสียหายมากขึ้น ทั้งนี้มาตรการควบคุมการใช้ที่ดินและผังเมืองของประเทศ มักเน้นการใช้เฉพาะปัจจัยศักยภาพด้านเศรษฐกิจและสังคมเป็นหลัก แต่ปัจจัยศักยภาพด้านกายภาพและมาตรฐานความเสี่ยงของพิบัติภัยภัยแทบไม่ได้ใช้เลย เช่น แผนที่เสี่ยงภัยน้ำท่วมเป็นต้น
3. ประเทศไทยควรจะมีแผนแม่บทการพัฒนาเมือง (Regional Urban Planning) ในลุ่มน้ำท่วมถึงทั่วประเทศเพื่อลดความเสียหายของน้ำท่วมต่อชุมชนและเมืองในอนาคต
4. ขนาดพิบัติภัยน้ำท่วมเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา (Dynamic) ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางธรรมชาติและกิจกรรมมนุษย์ ประเทศไทยต้องเพิ่มระดับมาตรฐานการลดความเสี่ยงภัยน้ำท่วมของประเทศให้มีขนาดที่เหมาะสม เมื่อเทียบกับโอกาสความเสี่ยงการเกิดพิบัติภัยซึ่งมีแนวโน้มจะมีขนาดใหญ่ขึ้น (ผลจากความแปรปรวนของภูมิอากาศในอนาคต) โดยเฉพาะควรเน้นการใช้มาตรการผังเมืองและการใช้ที่ดินเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเป็นหลักในระยะยั่งยืน
และ 5. ควรมีการรื้อระบบผังเมืองของประเทศให้มีประสิทธิภาพ ควรปรับปรุงกฎหมายควบคุมผังเมืองและการใช้ที่ดินให้ทันสมัย ควรปรับปรุงหน่วยงานที่ดูแล กำกับและบังคับใช้กฎหมายด้านผังเมืองและการใช้ที่ดินของประเทศใหม่ เช่น แยกผังเมืองออกจากโยธาธิการ หรือ ตั้งเป็นกระทรวงใหม่ที่ดูแลทั้งระบบ เป็นต้น