“3 ประเด็น” แยบยล พท.เปิด “เกมเร็ว” แก้รัฐธรรมนูญ
พ้นเลือกตั้งผู้ว่าราชการ กทม.ไม่นาน รัฐบาลพรรคเพื่อไทย (พท.) ก็เปิดเกมรุกจนฝ่ายค้านที่นำโดยพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ตั้งรับแทบไม่ทัน

ทั้ง 1. เปิดทางให้ “นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์” น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มาลงเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เชียงใหม่ เขต 3 แทนนายเกษม นิมมลรัตน์ เพื่อขอแต่งตัวเป็น “นายกฯ สำรอง” หากเกิดอุบัติเหตุกับ “นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”
2. การเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมของ ส.ส.เสื้อแดง ซึ่งขณะนี้ประธานสภาผู้แทนราษฎร ก็บรรจุวาระเข้าไปประกอบกับร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ที่มีอยู่เดิม 4 ฉบับ เป็นที่เรียบร้อย
และ 3. การยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา จำนวน 3 ฉบับ ซึ่งแทบไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อนว่า พท.จะใช้แผนนี้ เพราะก่อนหน้านี้ มัวแต่เล็งไปที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ
ความจริงแนวคิดเนื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา คนที่เสนอชัดเจนที่สุดก็คือ “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับจากแกนนำ พท.เพราะเกรงจะไม่ทันเกมในสภากับ ปชป.ที่คงจะหาทางขัดขวางทุกวิถีทาง จึงเล็งไปที่การแก้ไขทั้งฉบับ ด้วยการทำประชามติมากกว่า
แต่อาจเป็นเพราะผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ที่ทำให้ พท.ต้องพลิกเกม ใช้เวทีสภาฯ ฟื้นความเข้มแข็งของตัวเอง ด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราแทน
การเปลี่ยนเกมครั้งนี้ พท.หวังจะทำเร็ว-จบเร็ว ขีดเส้นไว้ไม่เกินเดือน ส.ค.นี้ ทุกอย่างต้องเสร็จสิ้น โดยร่วมมือกับ ส.ว.เลือกตั้ง สายที่ใกล้ชิดกับรัฐบาล เป็นที่มาของการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา รวม 3 ร่าง 4 ประเด็น โดยแยกกับเสนออย่างแยบยล
กลุ่มที่หนึ่ง : ส.ส.พท.เสนอร่างแก้ไขที่มา ส.ว. โละ ส.ว.สรรหาทิ้ง เปลี่ยนให้มีแต่ ส.ว.เลือกตั้ง
กลุ่มที่สอง : ส.ว.เลือกตั้ง นำโดบ “นายดิเรก ถึงฝั่ง” ส.ว.นนทบุรี เสนอแก้ไขมาตรา 237 เรื่องยุบพรรคการเมือง ห้ามยุบพรรคการเมืองและห้ามตัดสิทธิกรรมการบริหารเป็นเวลา 5 ปี และมาตรา 68 เรื่องการยื่นคดีต่อศาลรัฐธรรมนูญ ที่ให้ยื่นผ่านอัยการสูงสุดเพียงอย่างเดียว ตัดช่องทางประชาชนยื่นตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญออกไป
กล่มที่สาม : ส.ว.เลือกตั้ง นำโดย “นายประสิทธิ โพธสุธน” ส.ว.สุพรรณบุรี เสนอก้ไขมาตรา 190
ตามขั้นตอน “นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์” ประธานสภาฯ ในฐานะประธานรัฐสภา จะบรรจุระเบียบวาระให้รัฐสภาได้พิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา ทั้ง 3 ร่าง 4 ประเด็น ภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ หากผ่านการพิจารณาในวาระแรก จะมีการตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาพิจารณาร่างละคณะ โดย พท.ตั้งเป้าว่าต้องนำกลับมาพิจารณาในวาระที่สองและวาระที่สามได้ภายในเดือน ส.ค.นี้
คาดกันว่าหลังการแก้ไขรัฐธรรมนูญ “รายมาตรา” สำเร็จ ก็นำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ “ทั้งฉบับ” ได้โดยที่ไม่ต้องมีศาลรัฐธรรมนูญมาคอยกวนใจ เหมือนที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยเข้ามาวินิจฉัยว่า การแก้ไขมาตรา 291 เพื่อให้มี "สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.)” อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ
เมื่อลองไล่เรียงประเด็นที่ พท.และ ส.ว.เลือกตั้ง จะแก้ไขในยกแรก ปรากฎว่ามีแต่เรื่องที่เป็นผลประโยชน์ทางการเมืองล้วนๆ ไม่นับมาตรา 190
1.แก้ไขมาตรา 68 เพื่อตัดช่องไม่ให้ “ใครก็ได้” ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ จากข้อความเดิม
“บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองตามระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้หรือเพื่อให้ ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่ บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้มิได้
ในกรณีที่บุคคลหรือพรรคการเมืองใดการกระทำตามวรรคหนึ่ง ผู้ทราบการกระทำดังกล่าวย่อมสิทธิ์เสนอเรื่องให้อัยการสูงสุด ตรวจสอบข้อเท็จจริงและยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าว....”
จะมีการตัดคำว่า “และยื่นคำร้อง” ในวรรคที่สองออก ทำให้มีเพียงอัยการสูงสุดเท่านั้น ที่ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้
หากยังจำกันได้ เหตุที่รัฐบาล พท.จำต้องชะลอเกมรื้อรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ เมื่อปี 2555 ก็เพียงมีประชาชนบางกลุ่มยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ “โดยตรง” แล้วศาลรัฐธรรมนูญก็รับคำร้อง ก่อนจะมีคำสั่งให้รัฐสภายุติการแก้ไขมาตรา 291 เพื่อจัดตั้งสมาชิก ส.ส.ร. โดยแนะนำให้ทำประชามติก่อน ซึ่งก็ทำให้เกิด “เด๊ดล็อค” เพราะการทำประชามติต้องใช้คะแนนเสียงเห็นด้วยค่อนข้างสูง อย่างน้อยก็สูงกว่าคะแนนที่ พท.รวมถึงพรรคร่วมรัฐบาลได้รับในการเลือกตั้ง ส.ส.ทั่วไป เมื่อปี 2554
ทำให้รัฐบาลไม่กล้าขยับ จนดองเรื่องมาถึงทุกวันนี้
2.แก้ไขเรื่องที่มาของ ส.ว.ให้มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด 200 คน จากเดิมที่เป็นลูกผสม ระหว่าง ส.ว.เลือกตั้ง 76 คน กับ ส.ว.สรรหา 74 คน รวม 150 คน
โดยอำนาจหน้าที่ของ ส.ว.คือการตรวจนสอบรัฐบาล พิจารณาแต่งตั้งองค์กรอิสระบางองค์กร ซึ่ง พท.เห็นว่า ส.ว.สรรหาอยู่ตรงข้ามกับรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ มาโดยตลอด โดยเฉพาะ “กลุ่ม 40 ส.ว.”
ทั้งนี้ การเปลี่ยนที่มา ส.ว.ให้มาจากการเลือกตั้ง อีกด้านยังทำให้ ส.ว.ที่จะเข้ามาส่วนใหญ่มีความใกล้ชิดกับ พท.ที่ถือเสียงข้างมากเบ็ดเสร็จในหลายจังหวัด ซึ่งจะทำให้ควบคุมได้ง่ายกว่า ไม่ต้องมีใครมาคอยตรวจสอบ หรือคอยกวนใจ
ที่สำคัญการแก้ไขเรื่องที่มา ส.ว.ครั้งนี้ ยังเป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์อย่างลงตัว เพราะ พท.จะเขียนบทเฉพาะกาลให้ ส.ว.เลือกตั้งชุดปัจจุบัน ที่จะหมดวาระในปี 2557 สามารถลงเลือกตั้งได้อีกครั้ง
3.แก้ไขมาตรา 237 ตามร่างที่ ส.ว.เลือกตั้งเสนอ มีการแก้ไข 2 ประเด็น หากผู้สมัครพรรคใดทุจริตเลือกตั้ง ไม่ต้องมีโทษถึงยุบพรรค และกรรมการบริหารของพรรคนั้น ไม่ต้องโดนเว้นวรรค 5 ปี เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตย
การเสนอดังกล่าวยังมีอีกวาระแทรกอยู่ นั่นคือการขอให้ปลดล็อคสมาชิกบ้านเลขที่ 109 ที่ยังมีโทษแบนจนถึงปลายปี 2556 ซึ่งจะทำให้คนการเมืองตัวจริงอย่าง นายบรรหาร ศิลปอาชา นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ฯลฯ กลับมาลงเล่นการเมืองได้อีกครั้ง
ต้องจับตาว่า การเดินเกมแก้รัฐธรรมนูญอย่างรวดเร็วหนนี้ สุดท้ายแล้วจะทำสำเร็จตามใจหมายหรือไม่ หลังจากพยายามมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็แป้กไปเสียทุกครั้ง !!
