คปก.เสนอยกเลิกร่างกฏ มท.ขัดหลักสิทธิมนุษยชน “ต้องให้สัญชาติเด็กเกิดในไทย”
คปก.เสนอยกเลิก ม.7 ทวิ วรรค 3 ริดรอนสิทธิเด็กไร้สัญชาติที่เกิดในไทย ชี้ขัดหลักสิทธิมนุษยชน- กม.คุ้มครองเด็ก แนะกำหนดสัญชาติเด็กกำพร้าตามผู้อุปการะ
----------------------------------------------------------
วันที่ 12 มี.ค.56 นายคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) ลงนามในหนังสือบันทึกความเห็นและข้อเสนอแนะ คปก.เรื่อง “ร่างกฎกระทรวงกำหนดฐานะและเงื่อนไขการอยู่ในราชอาณาจักรไทยของผู้ที่เกิดในราชอาณาจักรไทยซึ่งไม่ได้สัญชาติไทย พ.ศ. ....” เสนอต่อนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่ง คปก.เคยเสนอความเห็นให้ชะลอการพิจารณาร่างดังกล่าวไปแล้วเมื่อ 18 ม.ค.56 ทั้งนี้ในข้อเสนอแนะล่าสุดของ คปก. เห็นว่าควรยกเลิกมาตรา 7 ทวิ วรรค 3 ซึ่งบัญญัติให้ถือว่าบุคคลที่เกิดในราชอาณาจักรไทยซึ่งไม่ได้สัญชาติไทยเป็นผู้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
เนื่องจากบทสันนิษฐานเรื่องสิทธิเข้าเมืองในมาตรานี้ ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนและหลักการสากล ไม่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เพราะถือว่าบุคคลดังกล่าวมีความผิดมาตั้งแต่เกิด และยังขัดหลักให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลไม่มีความผิดในคดีอาญา ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของรัฐธรรมนูญไทยและกฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งนี้ยังเห็นว่ามาตราดังกล่าวไปยกเว้นการกำหนดเกี่ยวกับสิทธิอาศัยตามพ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 ซึ่งเป็นกฎหมายที่กำหนดการอยู่อาศัยของบุคคลต่างด้าวเป็นการทั่วไปเอาไว้อยู่แล้ว
โดย คปก.เห็นว่าการรับรองสิทธิอาศัยอย่างเป็นระบบตามกฎหมายทะเบียนราษฎรย่อมเป็นการสร้างความโปร่งใสและมีระบบตรวจสอบชัดเจน เป็นการสร้างความมั่นคงยิ่งกว่าการให้บุคคลดังกล่าวมีฐานะเป็นผู้เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ซึ่งไม่สอดคล้องกับหลักการความมั่นคงและไม่เป็นผลดีต่อการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียนในอนาคต
จึงควรยกเลิกร่างกฎกระทรวงข้อ 1 และ 2 ซึ่งให้ถือว่าบุคคลที่เกิดในราชอาณาจักรไทยซึ่งไม่ได้สัญชาติไทยเป็นผู้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต นอกจากนี้ควรยกเลิกข้อความที่ไม่ชัดเจนซึ่งเปิดช่องให้ใช้ดุลยพินิจในการกำหนดฐานะการอยู่อาศัยในราชอาณาจักรไทยตามบิดามารดาในลักษณะที่เป็นโทษต่อเด็กและเยาวชนมากกว่าเป็นคุณ ขัดต่อมาตรา 22 พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กและข้อ 3 ข้อย่อย 1 ของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ซึ่งรับรองผลประโยชน์สูงสุดของเด็ก
คปก.จึงเห็นว่า ร่างกฎกระทรวงนี้ยังละเลยต่อเด็กกำพร้าที่ไม่ปรากฏบิดามารดา จึงเสนอให้เพิ่มเติมให้สอดคล้องกับหลักการพ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 และหลักการขอแปลงสัญชาติไทยให้แก่บุคคลซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่มีภูมิลำเนาในประเทศ โดยกำหนดฐานะการอยู่อาศัยให้เป็นไปตามผู้อุปการะหรือครอบครัวหรือสถานสงเคราะห์ .
