มศว.เผยผลสำรวจ คนกรุงอยากให้แก้รถติด-เลือกผู้ว่าจากนโยบายมากกว่าพรรค
ภาควิชารัฐศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จัดทำการวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสอบถามทัศนคติและพฤติกรรมทางการเมืองของคนในเขตเมืองหลวง กรณีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร 2556
โดยผู้ตอบแบบสอบถามมีจำนวนทั้งสิ้น 403 คน ส่วนใหญ่ (206 คน) อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่ที่มีสัดส่วนผู้ออกมาใช้สิทธิในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเมื่อครั้งก่อน (มกราคม 2552) ต่ำกว่า 50% ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเป็นข้าราชการ/พนักงานของรัฐ (110 คน) และประกอบอาชีพค้าขาย/ธุรกิจส่วนตัว (110 คน) และ ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่อายุ 18-25 ปี (129 คน)
คำตอบ/ทัศนะของผู้ที่ตอบแบบสอบถามทั้งหมด จำแนกตามข้อคำถาม มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1. ท่านคิดว่าความสุขของคนกรุงเทพฯ อยู่ที่ไหน
(1) รถไม่ติด มีโครงข่ายคมนาคมที่สะดวกสบาย 34.2%
(2) ไม่มีมลพิษ มีสวนสาธารณะหรือพื้นที่สีเขียวมากๆ 11.2%
(3) ทันสมัยเจริญก้าวหน้าทัดเทียมเมืองหลวงของประเทศอื่น 12.9%
(4) มีวัฒนธรรมอันดีงาม ผู้คนมีน้ำใจช่วยเหลือกัน 14.4%
(5) มีความสงบสุข ไม่มีความวุ่นวายทางการเมือง 27.3%
2. ท่านคิดว่าผู้ว่ากรุงเทพฯ ควรมีลักษณะอย่างไร
(1) มีความน่าเชื่อถือ สุภาพเรียบร้อย 15.1%
(2) เป็นคนรุ่นใหม่ มีวิธีการทำงานที่แปลกใหม่ 28.3%
(3) เข้มแข็ง เด็ดขาด เอาจริงเอาจัง 39.5%
(4) โอนอ่อนผ่อนตาม สามารถประสานงานกับทุกฝ่ายได้ 17.1%
3. ในการเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพฯครั้งนี้ ท่านคิดว่าเรื่องใดสำคัญน้อยที่สุด
(1) พรรคการเมืองที่ผู้สมัครสังกัด 52.6%
(2) คุณสมบัติส่วนตัวของผู้สมัคร (เช่น วุฒิการศึกษา บุคลิกภาพ อายุ) 16.4%
(3) นโยบายที่ใช้หาเสียง 12.4%
(4) ประสบการณ์และผลงานที่ผ่านมาของผู้สมัคร 18.6%
4. ท่านได้ข้อมูลของผู้สมัครจากช่องทางไหนมากที่สุด
(1) จากคนที่อยู่ในชุมชนบอกต่อๆ กันมา 6.2%
(2) จากตัวผู้สมัครและทีมงานหาเสียงเลือกตั้ง 18.1%
(3) จากเครือข่ายของนักการเมืองในพื้นที่ 6.9%
(4) จากสื่อต่างๆ เช่น โปสเตอร์, อินเตอร์เน็ต, วิทยุ ฯลฯ 68.7%
5. ท่านคาดหวังอะไรหลังจากการเลือกตั้งผ่านไปแล้ว
(1) คิดว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนจากเดิมมากนัก 28.8%
(2) คนกรุงเทพฯน่าจะมีชีวิตทีดีขึ้นกว่าเดิม 53.8%
(3) ไม่คาดหวังอะไรอีกแล้ว เพราะผิดหวังมาทุกครั้ง 17.4%
จากคำตอบทั้งหมด สามารถวิเคราะห์ ตั้งข้อสังเกต และอภิปรายได้ดังต่อไปนี้
1. คนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ยังมีความคาดหวังในทางการเมือง (53.8%) ค่อนข้างสูง โดยคิดว่าสภาพการเมืองที่เป็นอยู่ขณะนี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ผ่านตัวผู้นำและมองว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวสามารถทำให้การดำเนินชีวิตของตนดีขึ้นกว่าเดิม การมองว่าชีวิตของตนเองขึ้นอยู่หรือเกี่ยวเนื่องกับการเมืองและการเมืองสามารถเปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้นได้นั้นสะท้อนนัยว่าคนกรุงเทพฯ มีวัฒนธรรมทางการเมืองที่เอื้อต่อการพัฒนาของระบอบประชาธิปไตยอยู่ส่วนหนึ่ง
2. ในแง่หนึ่ง การที่คนกรุงเทพฯ มองว่าชีวิตของพวกเขาน่าจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นนั้น อาจเป็นเพราะคนกรุงเทพฯ มองเห็นว่านโยบายของตัวผู้สมัครสามารถทำได้และเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้นได้จริง หรืออาจเป็นเพราะมีความเชื่อมั่นในความสามารถของตัวผู้สมัครสูงก็เป็นได้
3. จากการสำรวจพบว่าเรื่องที่คนกรุงเทพฯ คาดหวังมากและคิดว่าจะนำความสุขมาให้ตนมากที่สุดอันดับแรกคือ “รถไม่ติด มีโครงข่ายคมนาคมที่สะดวกสบาย” (34.2%) แต่กลับปรากฎว่าประเด็นดังกล่าวถูกนำมาใช้ในการหาเสียง (โดยเฉพาะผู้สมัครที่ได้รับการคาดหมายว่าจะได้รับเลือก) ค่อนข้างน้อยและไม่มีการนำเสนอวิธีการแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมมากนัก ขณะเดียวกัน เรื่องที่คนกรุงเทพคาดหวังน้อยที่สุดและคิดว่าเรื่องดังกล่าวนำความสุขมาให้ตนเองได้ไม่มากนักเมื่อเทียบกับเรื่องอื่นๆ คือเรื่อง “ไม่มีมลพิษ มีสวนสาธารณะหรือพื้นที่สีเขียวมากๆ” (11.2%) แต่กลับพบว่าประเด็นนี้ได้ถูกหยิบยกมาใช้ในการหาเสียงมากกว่า
4. ในส่วนของผู้ที่จะสามารถทำให้ความคาดหวังของคนกรุงเทพฯ เป็นจริงได้นั้น คนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่มองว่าต้องเป็นคนที่ “เข้มแข็ง เด็ดขาด เอาจริงเอาจัง” (39.5%) รองลงมาคือคนที่ “เป็นคนรุ่นใหม่ มีวิธีการทำงานที่แปลกใหม่” (28.3%) ส่วนผู้สมัครที่มีบุคลิกลักษณะ “มีความน่าเชื่อถือ สุภาพเรียบร้อย” นั้น คนกรุงเทพฯ มองว่าจะทำให้พวกเขาบรรลุความหวังได้น้อยที่สุด (15.1%)
5. การตัดสินว่าผู้สมัครคนใดมีคุณสมบัติที่ดีนั้น คนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ไม่ได้ตัดสินจากการที่ผู้สมัครท่านนั้นสังกัดพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง แต่ตัดสินจากนโยบายที่นำเสนอและคุณสมบัติส่วนตัวของผู้สมัคร เช่น วุฒิการศึกษา บุคลิกภาพ อายุ ฯลฯ มากกว่า
6. ในส่วนการรับรู้ข้อมูลของผู้สมัคร พบว่า คนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่รับรู้จาก “จากสื่อต่างๆ เช่น โปสเตอร์, อินเตอร์เน็ต, วิทยุ ฯลฯ” (68.7%) ในขณะที่การรับรู้ข้อมูลของผู้สมัครจากเครือข่ายของนักการเมืองในพื้นที่และจากคนที่อยู่ในชุมชนมีค่อนข้างน้อย (6.9% และ 6.2% ตามลำดับ) ดังนั้น จึงสามารถมองได้ว่าการตัดสินใจหรือการใช้ดุลพินิจในการเลือกตั้งของคนกรุงเทพฯ มีลักษณะของความเป็นปัจเจก (คือตัดสินใจเลือกโดยใช้วิจารณญาณของตนเอง) ค่อนข้างสูง
