ทุจริตสอบ "ครูผู้ช่วย"..วงจรอุบาทว์ของวงการแม่พิมพ์ไทย?!?
กลายเป็น "ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์" ไปทั่วทุกหัวระแหง สำหรับการสอบคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย กรณีที่มีความจำเป็น หรือเหตุพิเศษ ว12 ในเขตพื้นที่การศึกษา และสำนักบริหารการศึกษาพิเศษ และ ว13 ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ เฉพาะ จ.ยะลา นราธิวาส ปัตตานี และ อ.จะนะ สะบ้าย้อย เทพา และนาทวี จ.สงขลา เมื่อเดือนมกราคม ที่ผ่านมา มีแนวโน้มว่าเกิดการ "ทุจริต" ในการสอบบรรจุครูผู้ช่วยในครั้งนี้!!
เพราะหลังจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือกไปเมื่อวันที่ 13 มกราคม ที่ผ่านมา พบว่ามีรายชื่อของ "พนักงานราชการ" คนหนึ่งในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) ชัยภูมิ ไปโผล่ใน 2 จังหวัด โดยมีชื่อผ่านการสอบคัดเลือกในลำดับที่ 15 กลุ่มวิชาเอกทั่วไปที่ สพป.ขอนแก่น เขต 3 และผ่านการคัดเลือกในลำดับที่ 1 ในกลุ่มวิชาเอกภาษาไทย ที่ สพป.ศรีสะเกษ เขต 3 ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ที่จะมีชื่อสอบติดทั้ง 2 แห่งในการสอบครั้งเดียวกัน เนื่องจากการสอบคัดเลือกนั้น จะสอบพร้อมกันทั่วประเทศ และไม่น่าเป็นไปได้ที่ผู้เข้าสอบจะเดินทางไปสอบ 2 ที่ได้ในเวลาเดียวกัน และยังอยู่คนละจังหวัดอีกด้วย
แต่เมื่อ สพฐ.ตรวจสอบแล้วพบว่ารายชื่อของพนักงานราชการที่ไปโผล่ที่ สพป.ขอนแก่น เขต 3 และ สพป.ศรีสะเกษ เขต 3 เป็นบุคคลเดียวกัน ไม่ใช่แค่ "ชื่อ" และ "นามสกุล" ซ้ำกันอย่างที่ สพฐ.ตั้งข้อสมมุติฐานในครั้งแรก ทำให้แทบจะ "ฟันธง" ได้ 100% ว่ามีการ "ทุจริต" สอบครูผู้ช่วยเกิดขึ้น
ล่าสุด ทั้ง สพป.ศรีสะเกษ เขต 3 ได้ "ชะลอ" การบรรจุพนักงานราชการคนดังกล่าวเอาไว้ โดยเรียกบรรจุเฉพาะผู้ที่สอบได้ในอันดับถัดๆ ไป เพราะต้องรอผลสรุปของ สพฐ.หลังจาก สพป.ศรีสะเกษ เขต 3 ได้รายงานผลการสอบข้อเท็จจริงของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงที่ตั้งขึ้นว่าผู้ที่เข้าสอบที่ สพป.ศรีสะเกษ เขต 3 เป็น "ตัวจริง"
ขณะเดียวกัน การตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงของ สพป.ขอนแก่น เขต 3 พบว่าคนที่เข้าสอบโดยใช้ชื่อเดียวกับพนักงานราชการคนดังกล่าว เป็นคนละคนกัน คือเป็น "ตัวแทน" เข้าสอบ แต่กลับมีหลักฐานบัตรประจำตัวผู้เข้าสอบของพนักงานราชการคนดังกล่าว ในที่สุดคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) ขอนแก่น เขต 3 จึงมีมติให้ สพป.ขอนแก่น เขต 3 เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับบุคคลดังกล่าวแล้ว และอยู่ระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกตัวมาสอบสวน
จากรูปการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้หลายๆ ฝ่ายมองว่ากรณีดังกล่าว น่าจะเกิดจากการ "จงใจ" ทุจริตมากกว่าจะเป็นความผิดพลาดที่เกิดขึ้น เพราะการที่พนักงานราชการคนดังกล่าวยืนยันว่าสมัครสอบบรรจุครูผู้ช่วย 2 แห่งจริง แต่เลือกไปสอบที่ สพป.ศรีสะเกษ เขต 3 เท่านั้น แล้วทำไม "ตัวแทน" ที่เข้าสอบที่ สพป.ขอนแก่น เขต 3 จึงมีบัตรประจำตัวผู้เข้าสอบของจริงเอาไปยื่นกับกรรมการคุมสอบ??
อย่างไรก็ตาม ปรากฎการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลาง "ข่าวลือ" ที่มีมาก่อนที่จะมีการสอบบรรจุครูผู้ช่วย โดยมีกระแสข่าวว่ามี "กระบวนการติวข้อสอบ" ให้กับผู้ที่สมัครสอบครูผู้ช่วยอยู่ในจังหวัดใหญ่ๆ โดยผู้สมัครเข้าติวข้อสอบจะต้องเสียค่าใช้จ่ายหลายแสนบาท บางรายจ่ายถึง 5.5 แสนบาท และมีการวิเคราะห์กันว่าเป็นไปได้ว่าค่าจ้างติวข้อสอบในราคาที่สูงขนาดนี้ อาจรวมถึงค่าจ้างที่ส่งคนเข้าไปสอบแทนด้วย
และที่ทำให้กระบวนการติวข้อสอบมีน้ำหนักมากขึ้น เมื่อมีพนักงานราชการคนหนึ่งของ สพป.แห่งหนึ่งในภาคอีสาน ซึ่งเป็น 1 ในผู้สมัครสอบครูผู้ช่วย ได้รับโทรศัพท์ "ลึกลับ" ก่อนวันสอบว่าหากต้องการสอบบรรจุครูผู้ช่วยให้ได้ จะต้องจ่าย 4 แสนบาท แต่ไม่ต้องมัดจำก่อน ใกล้ๆ สอบ 1-2 วัน จะนัดเจอเพื่อดูข้อสอบ แต่พนักงานราชการรายนี้ได้ปฏิเสธไป และมีเพื่อนพนักงานราชการหลายๆ คน ก็ได้รับโทรศัพท์ในลักษณะเดียวกันนี้หลายคน.. โดยปลายสายบอกเพียงแค่ว่า..ทำงานอยู่ในเขตพื้นที่การศึกษาในภาคอีสาน!!
การทุจริตสอบครูผู้ช่วยที่เกิดขึ้น ทำให้พนักงานราชการหลายๆ คน "ถอดใจ" ไม่สมัครสอบ เพราะรู้ว่าโอกาสที่จะสอบบรรจุครูผู้ช่วยได้นั้น..เป็นไปได้ยาก ประกอบกับมีข้าราชการ สพป.ในภาคอีสาน บางรายให้ข้อมูลว่ากลุ่มจัดติวข้อสอบ และเรียกรับผลประโยชน์ครั้งนี้ ได้แอบอ้างผู้ใหญ่ใน สพฐ.ด้วย โดยระบุว่าเป็น "นายใหญ่ที่กรุงเทพฯ" รู้เห็นเป็นใจ เพราะไม่เช่นนั้นคงทำอะไรไม่ได้!!
นอกจากเสียงเล่าลือว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังกระบวนการติวข้อสอบคือ "นายใหญ่ที่กรุงเทพฯ" แล้ว ยังซัดทอดไปถึง "คนใกล้ชิดนักการเมือง" เพราะหากนายใหญ่ที่กรุงเทพฯ และคนใกล้ชิดนักการเมืองไม่เปิด "ไฟเขียว" แล้ว... "ข้อสอบ" จะหลุดออกมาถึงผู้ที่รับจ้างติวข้อสอบได้อย่างไร??
ทั้ง "นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) บอกว่าเคยได้รับเรื่องร้องเรียนว่าที่ จ.ขอนแก่น มีกระบวนการติวข้อสอบ แต่เมื่อมอบให้ "นายอนันต์ ระงับทุกข์" รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ไปตรวจสอบแล้วก็ไม่พบ พร้อมทั้งยืนยันว่าในส่วนของ "ลูกชาย" ซึ่งเป็น ส.ส.ขอนแก่น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน
ส่วน "นายชินภัทร ภูมิรัตน" เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน บอกว่าเป็นการ "บ่อนทำลาย" ความน่าเชื่อถือของหน่วยงาน และองค์กรที่เกี่ยวข้อง เพราะการจะกล่าวอ้างโดยไม่มีข้อมูลความจริงแล้ว ก็อาจทำให้เกิดความสับสนุน และไม่รู้ว่าผู้ที่กล่าวอ้างเช่นนั้น คือผู้ที่สอบไม่ได้ใช่หรือไม่
ขณะที่รัฐมนตรีว่าการ ศธ.ประกาศว่าการจ่ายเงิน 4 แสนบาท เพื่อแลกกับการติวข้อสอบนั้น เป็นอีกเรื่องที่ต้องตรวจสอบ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการสอบบรรจุครูผู้ช่วย!!
อย่างไรก็ตาม กระแส "นายใหญ่ที่กรุงเทพฯ" ผู้อยู่เบื้องหลังกระบวนการติวข้อสอบแลกเงิน 4 แสนบาท หรือ "คนใกล้ชิดนักการเมือง" ที่เรียก 5-7 แสนบาท เพื่อแลกกับการบรรจุครูผู้ช่วย ที่ถูก "ปูด" ออกมานั้น มีข่าวในเชิงลึกว่าเป็นขบวนการ "ปล่อยข่าว" จาก "นักการเมือง" บางกลุ่มในพื้นที่ จ.ขอนแก่น ที่เสียประโยชน์จากการทำมาหากินเกี่ยวกับการทุจริตสอบเข้าหน่วยงานต่างๆ และ "ขัดแข้งขัดขา" กันเองกับนักการเมืองอีกกลุ่มในพื้นที่เดียวกัน จึงปล่อยข่าวเพื่อ "ดิสเครดิต" อีกฝ่ายหนึ่ง!!
แต่ที่หนักหนาสากรรจ์กว่านั้น เห็นจะเป็นกรณีที่มี "ผู้บริหาร" บางคนของเขตพื้นที่การศึกษาใน สพป.ขอนแก่น ซึ่งเป็นจังหวัดที่เกิดการทุจริตสอบครูผู้ช่วยในครั้งนี้ และเป็นจังหวัดต้นๆ ของประเทศที่ถูก "ฟันธง" ว่าเป็น "แหล่งใหญ่" ของกระบวนการทุจริตสอบเข้าหลายๆ หน่วยงาน หวั่นวิตกว่าหาก "ผลสอบ" ของ ศธ.ในครั้งนี้สรุปว่า "ทุจริต" จริง และ "ยกเลิก" การสอบในครั้งนี้ จะทำให้ผู้ที่สอบบรรจุครูผู้ช่วยได้ในพื้นที่ของผู้บริหารคนดังกล่าวประมาณ 20 ราย โดยแลกกับการจ่ายเงินติวข้อสอบคนละ 4-5 แสนบาท จะ "ไม่ได้" เป็นครูผู้ช่วย ทั้่งที่จ่ายเงินรวมๆ กันแล้ว 10 ล้านบาท
กรณีนี้ที่ทำให้มีเสียงวิจารณ์ตามมาว่า "ผู้บริหาร" คนดังกล่าว "รู้เห็นเป็นใจ" หรือมี "ส่วนร่วม" ให้บุคคลเหล่านี้ "ทุจริต" สอบบรรจุครูผู้ช่วยใช่หรือไม่??
เพราะแทนที่จะเป็นเป็นกังวลว่าผู้ที่สอบบรรจุครูผู้ช่วยโดย "สุจริต" จะเสียประโยชน์ เพราะปัญหาทุจริตที่เกิดขึ้น กลับห่วงกลุ่มคนที่ทุจริตสอบ ว่าจะต้องเสียเงินฟรีๆ
ล่าสุด คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การศึกษา สภาผู้แทนราษฎร ที่มี "นายประกอบ รัตนพันธ์" เป็นประธาน ได้เรียกผู้เกี่ยวข้องทั้งจาก สพฐ., ก.ค.ศ., ผู้อำนวยการ สพป.ศรีสะเกษ เขต 3, ผู้อำนวยการ สพป.ขอนแก่น เขต 3 รวมถึง พนักงานราชการที่มีชื่อสอบบรรจุครูผู้ช่วยติดทั้ง 2 เขตด้วย
จากการซักถาม และคำชี้แจงที่ได้ฟังจากฝ่ายต่างๆ ทำให้ กมธ.การศึกษาฯ เชื่อว่ามีการทุจริตสอบครูผู้ช่วยในครั้งนี้อย่างแน่นอน และน่าจะมีการเชื่อมโยงกันหลายระดับ โดย สพป.ขอนแก่น เขต 3 น่าจะรู้เห็นด้วย จึงปล่อยให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น พร้อมทั้งเร่งให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องนำคนผิดมาลงโทษโดยเร็ว แทนที่จะรอการดำเนินคดีของเจ้าหน้าที่ตำรวจเพียงฝ่ายเดียว ไม่เช่นนั้นจะ "เล่นงาน" สพฐ.แทน
ซึ่งอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการ ศธ."นายพงศกร อรรณนพพร" รองประธาน กมธ.การศึกษาฯ เอง ก็เชื่อว่าเรื่องนี้น่าจะมีมูล เพราะหากไม่มีมูล คงไม่มีข่าวออกมา และในการสอบบรรจุครูผู้ช่วยครั้งที่ผ่านมา ก็เคยเกิดปัญหาจน ศธ.สั่งให้ยกเลิกการสอบบรรจุครูผู้ช่วยมาแล้ว
ปัญหาดังกล่าวทำให้นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช จากพรรคเพื่อไทย ต่อสายถึงนายประกอบ รัตนพันธ์ ประธาน กมธ.การศึกษาฯ จากพรรคประชาธิปัตย์ ขอให้ช่วยตรวจสอบเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด เพราะเขตพื้นที่ฯ ดังกล่าวมีปัญหาทุจริตสอบครูผู้ช่วยจริง ซึ่งน่าจะเป็นครั้งแรกที่พรรคการเมืองที่อยู่คนละฝ่ายกัน ร่วมแรงร่วมใจกันหาตัวผู้ทุจริตมาลงโทษ
โดยนายเสริมศักดิ์เองได้ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในส่วนของ ศธ.มี "นายพิษณุ ตุลสุข" ผู้ตรวจราชการ ศธ.เป็นประธาน โดยเร่งให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยเร็ว เพราะปัญหาดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสานเท่านั้น แต่ยังลามไปทั่วทุกภาคของประเทศ
เห็นทีทั้งนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา และนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช น่าจะอาศัยเหตุการณ์ทุจริตสอบบรรจุครูผู้ช่วยในครั้งนี้ จัดการขั้นเด็ดขาดกับ "วงจรอุบาทว์" นี้ แทนที่จะปล่อยให้เป็นปัญหาเรื้อรังไปเรื่อยๆ และ "บ่อนทำลาย" ความน่าเชื่อถือของวงการ "แม่พิมพ์ไทย"
นอกจากจะลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตสอบแล้ว ถ้าจำเป็นต้อง "ยกเลิก" การสอบบรรจุครูผู้ช่วยในเขตพื้นที่ฯ ที่มีการทุจริต ก็คงต้องยกเลิก และจัดสอบใหม่ เพื่อให้ความเป็นธรรมกับผู้ที่เข้าสอบโดยสุจริต...
ที่สำคัญ "ผู้บริหาร" คนใดที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการทุจริต ผู้บริหารคนใดที่รู้เห็นเป็นใจให้คนของตัวเองทุจริต ผู้บริหารคนใดที่ปกป้องคนที่ทุจริต ต้องจัดการขั้นเด็ดขาด เพื่อเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมา...
เพราะถ้าบุคคลที่จะเข้ามาเป็น "ครู" ยัง "โกง" เสียเอง แล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่าคนเหล่านี้ จะสอนลูกหลานตาดำๆ ของเรา ให้เป็น "คนดี" ได้?!?
ขอบคุณภาพประกอบ : ส่วนหนึ่งนำมาจากโปสเตอร์ภาพยนต์เรื่อง "ครูบ้านนอก"