นักวิชาการเสนอ "ปฏิรูปกองทุนยุติธรรม" หวังลดเหลื่อมล้ำ ช่วยคนจนพ้นคุก
ถึงนาทีนี้เชื่อว่าหลายคนคงเริ่มคุ้นหูกับคำว่า "กองทุนยุติธรรม" กันบ้างแล้ว เพราะเป็นกองทุนที่ให้ความช่วยเหลือเรื่องเงินประกันตัวเพื่อยื่นต่อศาลให้พิจารณา "ปล่อยชั่วคราว" ผู้ต้องหาและจำเลยในคดีอาญา รวมถึงคดีความมั่นคงอื่นๆ ทั้งกรณีของ "กลุ่มคนเสื้อแดง" และผู้ต้องหากับจำเลยในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
กล่าวเฉพาะในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น "กองทุนยุติธรรม" ได้มีบทบาทช่วยเหลือเรื่องการยื่นขอประกันตัวผู้ต้องขังคดีความมั่นคงไปหลายสิบคนตั้งแต่ช่วงปลายปี 2553 ตามนโยบายของผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม เพื่อลดเงื่อนไขความรู้สึกไม่เป็นธรรมที่ตัวผู้ต้องขังเองและครอบครัวต้องเผชิญ เนื่องจากไม่ได้รับการปล่อยชั่วคราว ระหว่างการพิจารณาคดี
ที่ผ่านมามีผู้ต้องหาและจำเลยในคดีความมั่นคงที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ 5 แห่งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ระหว่างการพิจารณาคดีในศาลชั้นต้น อุทธรณ์ และฎีกามากถึง 514 ราย ขณะที่คดีความมั่นคงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น แต่ละคดีใช้เวลาพิจารณามากกว่า 3 ปีขึ้นไป ทำให้ผู้คนจำนวนมากต้องสิ้นอิสรภาพ และครอบครัวของคนเหล่านั้นได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากส่วนใหญ่ผู้ถูกจับกุม คุมขัง ล้วนเป็นหัวหน้าครอบครัว
อย่างไรก็ดี กองทุนยุติธรรมก็มีข้อจำกัดในตัวเอง คือมีงบประมาณอุดหนุนจากรัฐบาลปีละไม่มากนัก ส่งผลให้สามารถช่วยเหลือผู้ต้องหาและจำเลยที่มีฐานะยากจนหรือขาดแคลนทุนทรัพย์ได้อย่างจำกัด รวมทั้งผู้ต้องขังคดีความมั่นคงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย
ล่าสุดมีบทความเผยแพร่ของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เกี่ยวกับข้อเสนอ "ปฏิรูปกองทุนยุติธรรม" โดย "ทีมข่าวอิศรา" เห็นว่ามีสาระน่าสนใจ จึงนำมาเสนอโดยละเอียดดังนี้
"ปฏิรูปกองทุนยุติธรรม" ลดเหลื่อมล้ำ ช่วยคนจนพ้นคุก
สำหรับคนจนผู้ยากไร้แล้ว เมื่อตกเป็นผู้ต้องหาหรือจำเลย การต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรมเป็นเรื่องใหญ่และหนักหนาสาหัส เพราะมีค่าใช้จ่ายเป็นค่าดำเนินการ ค่าทนายความ และที่สำคัญคือ "เงินประกันตัว" เพื่อขอสู้คดีโดยไม่ต้องถูกคุมขัง ซึ่งแม้กฎหมายไม่ได้บังคับ แต่เป็นทางปฏิบัติกันมาตลอด ถือเป็นต้นทุนในกระบวนการยุติธรรมที่ผู้ยากไร้ยากจะหาได้
"กองทุนยุติธรรม" ที่กระทรวงยุติธรรมตั้งขึ้นจึงเป็นช่องทางหนึ่งที่จะช่วยเหลือให้ผู้ยากไร้ได้เข้าถึงความยุติธรรม โดยกองทุนจะรับภาระค่าดำเนินการในกระบวนการให้ตามแต่กรณี แต่ด้วยเหตุที่กองทุนยุติธรรมตั้งขึ้นโดยหน่วยงานของรัฐ และรายรับของกองทุนมาจากเงินงบประมาณที่รัฐบาลจัดสรรให้เพียงปีละประมาณ 30 ล้านบาท ทำให้ช่วยเหลือผู้ยากไร้ได้จำกัด และช่วยเหลือเฉพาะผู้ที่สามารถเข้าถึงกองทุนได้เท่านั้น
ผศ.ดร.ปกป้อง ศรีสนิท อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้นำเสนอแนวคิดการ "ปฏิรูปกองทุนยุติธรรม" เพื่อให้กองทุนมีความมั่นคง สามารถช่วยเหลือผู้ยากไร้ให้ได้เข้าถึงความยุติธรรมมากขึ้น ด้วยแนวทางการเพิ่มรายได้และลดรายจ่ายของกองทุน
"สังคมจะดีขึ้นถ้าคนรวยสละเงินบางส่วนเอามาเข้ากองทุน แล้วให้คนจนที่เดือดร้อนได้ใช้เงินในส่วนนี้ในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม เป็นสังคมของการแบ่งปันและไม่เอาเปรียบ วิธีการอย่างนี้จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำในกระบวนการยุติธรรมและในสังคมลงได้" ผศ.ดร.ปกป้อง ระบุ
อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อธิบายว่า ปัญหาตอนนี้คือทำอย่างไรจะทำให้กองทุนยุติธรรมมีสถานะที่ดีขึ้น โดยมีรายได้สัมพันธ์กับรายจ่าย เพราะปัจจุบันกองทุนยุติธรรมมีรายได้ทางเดียวจากเงินอุดหนุนของรัฐซึ่งไม่เพียงพอที่จะไปช่วยเหลือคนจนยากไร้ให้เข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้ทั้งหมด
รายจ่ายของกองทุนยุติธรรม ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่
1) ค่าขึ้นศาลหรือค่าธรรมเนียมศาล ซึ่งเป็นการใช้สิทธิทางศาล โดยจ่ายร้อยละ 2 ของจำนวนเงินที่ต้องการเรียกร้อง
2) ค่าทนายความ คนรวยมีเงินจ้างทนายเก่งๆ แพงๆ แต่คนยากไร้เมื่อถูกฟ้องร้องแล้วต้องการใช้สิทธิทางศาล กลับไม่มีเงินมากพอที่จะจ้างทนายเก่งๆ ราคาแพงเป็นที่ปรึกษากฎหมายได้
3) ค่าประกันตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญา
เมื่อต้องการให้กองทุนยุติธรรมสามารถให้ความช่วยเหลือผู้ยากไร้ได้มากขึ้นและดีขึ้นนั้น จึงต้องบริหารจัดการให้กองทุนมีรายได้เพิ่ม มีการบริหารจัดการที่ดี และมีความมั่นคง โดยแนวทางที่เสนอในส่วนของการเพิ่มรายได้ของกองทุนคือ การทำรายรับกับรายจ่ายให้สัมพันธ์กัน ซึ่งมี 3 แนวทาง ได้แก่
ทางที่หนึ่ง เรื่องค่าขึ้นศาล กองทุนมีภาระต้องนำเงินไปช่วยผู้ยากไร้ที่จะต้องขึ้นศาลในการดำเนินคดีแพ่ง กฎหมายควรกำหนดให้นำเงินค่าขึ้นศาลบางส่วนหักเข้ากองทุนยุติธรรม วิธีการนี้เป็นการนำเงินบางส่วนของคนรวยที่มีเงินจ่ายค่าขึ้นศาลมาใส่เข้ากองทุน แล้วกองทุนก็นำไปใช้จ่ายเพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้ที่ไม่มีเงินค่าขึ้นศาล
ทางที่สอง การเพิ่มรายได้จากค่าทนายความ ทำเช่นเดียวกับกรณีแรก คือเมื่อกองทุนมีภารกิจช่วยผู้ยากไร้เรื่องทนายความ กฎหมายก็ควรกำหนดให้มีการหักค่าจ้างทนายความของคนรวยบางส่วน (เป็นเปอร์เซ็นต์) มาเข้ากองทุนยุติธรรม แล้วกองทุนจะมีรายได้มากขึ้นเพื่อนำไปจ่ายเป็นค่าทนายความดีๆ ให้กับคนยากไร้ วิธีการนี้ไม่ได้ทำให้ทนายความต้องมีภาระเพิ่มแต่อย่างใด เพราะทนายความก็จะผลักภาระส่วนนี้ไปเรียกเก็บกับลูกความที่มีฐานะดีอยู่นั่นเอง
ทางที่สาม ภาระเรื่องเงินประกันตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญาซึ่งมีการใช้เงินจำนวนมาก แนวทางที่เสนอคือการขอแบ่งส่วนหนึ่ง (เป็นเปอร์เซ็นต์) ของเงินประกันที่ศาลริบในกรณีผู้ต้องหาหรือจำเลยหลบหนี หักส่วนนี้มาสมทบเข้ากองทุนเพื่อให้กองทุนมีเงินไปใช้ในการประกันตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยที่เป็นผู้ยากไร้ในคดีอื่น
ผศ.ดร.ปกป้อง ยังได้เสนอแนวทางการลดภาระหรือรายจ่ายของกองทุนในเรื่องการประกันตัวว่า ในกระบวนการยุติธรรมของไทยมักเรียกหลักประกันเสมอ โดยถ้าผู้ต้องหาหรือจำเลยถูกตั้งข้อหารุนแรง เช่น ความผิดที่มีโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป อาจมีการเรียกเงินหลักประกันมาวางเป็นประกันแทนการถูกคุมขังระหว่างดำเนินคดีอาญา ซึ่งกรณีผู้ต้องหาที่มีฐานะดีย่อมไม่เดือดร้อน ตรงกันข้ามกับคนจนที่ไม่มีเงิน จำต้องยอมถูกคุมขังระหว่างการพิจารณาคดีเพราะไม่มีเงินหรือหลักทรัพย์มาวางเป็นหลักประกัน
"ตรงนี้คือจุดที่สร้างความไม่เป็นธรรมและสร้างความเหลื่อมล้ำในสังคม เพราะมีตัวอย่างให้เห็นมากมายว่าคนสองคนถูกกล่าวหาในคดีอาญาเหมือนกัน คนหนึ่งมีเงินวาง ศาลจะให้ประกันตัวไป อีกคนไม่มีเงินหรือหลักทรัพย์มาวาง ก็ต้องถูกคุมขังระหว่างพิจารณาคดี นี่คือความเหลื่อมล้ำที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่กฎหมายไม่ได้บังคับให้เรียกหลักประกันจากประชาชน แต่ให้เป็นดุลพินิจที่ศาลจะเรียกหรือไม่เรียกก็ได้"
"ฉะนั้นวิธีการลดภาระของกองทุนยุติธรรมอย่างหนึ่งคือ การเปลี่ยนแนวคิดของกระบวนการยุติธรรมไทยในเรื่องการประกันตัวเสียใหม่ ไม่ว่าจะเป็นชั้นพนักงานสอบสวน (ตำรวจ) อัยการ หรือศาล โดยการประกันตัวควรพิจารณาจากพฤติการณ์ของผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นหลัก เช่น ถ้าผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นคนปกติ ไม่ได้หลบหนี ไม่ได้มีพฤติการณ์ยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ไม่ได้มีพฤติการณ์จะไปก่อเหตุร้าย ทำอย่างไรที่กระบวนการยุติธรรมจะพิจารณาให้มีการปล่อยชั่วคราวโดยไม่ต้องมีหลักประกัน แต่กำหนดเงื่อนไขอื่นๆ ให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยปฎิบัติระหว่างการพิจารณาคดีแทน"
"แนวทางนี้สามารถทำได้เลย เพียงเปลี่ยนแนวปฏิบัติในการคุมขังและปล่อยชั่วคราวของกระบวนการยุติธรรมไทยให้ไปพิจารณาในเรื่องลักษณะพฤติการณ์ของผู้ต้องหาหรือจำเลยมากกว่า แทนที่จะเรียกหลักประกันจากผู้ต้องหาหรือจำเลยทุกกรณีที่ถูกกล่าวหา ถ้าในกระบวนการยุติธรรมไม่ต้องเรียกหลักประกันในทุกกรณี กองทุนยุติธรรมก็ไม่ต้องนำเงินในส่วนนี้ไปช่วยเหลือผู้ต้องหาหรือจำเลยในการประกันตัว กองทุนยุติธรรมก็จะมีภาระส่วนนี้น้อยลง และสามารถนำเงินไปช่วยเหลือคนยากไร้ในเรื่องอื่นๆ ได้มากขึ้น ความเหลื่อมล้ำก็จะน้อยลง นอกจากนี้เมื่อการคุมขังระหว่างสอบสวนหรือระหว่างพิจารณาลดลง หน้าที่ของรัฐที่ต้องเยียวยาจำเลยที่ศาลยกฟ้องก็น้อยลงตามไปด้วย" นักกฎหมายจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุ
ผศ.ดร.ปกป้อง กล่าวด้วยว่า เราจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อให้สังคมดีขึ้น คนมีฐานะควรจะต้องเสียสละประโยชน์เพียงน้อยนิดของตนเพื่อหักเข้ากองทุนเพื่อนไปช่วยเหลือคนยากไร้ด้อยโอกาส ส่วนจะหักเงินเข้ากองทุนเท่าไรนั้น เป็นเรื่องที่ต้องนำไปคิดคำนวณกันต่อไป
"สำหรับข้อเสนอทั้งหมดนี้ผมจะนำเสนอต่อคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป และสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เพื่อร่วมผลักดันต่อไป ทั้งนี้หากเป็นไปตามที่เสนอ เชื่อว่ากองทุนจะโตขึ้น และภายใต้การบริหารจัดการที่ดี มีคณะกรรมการที่มาจากกลุ่มคนหลายฝ่าย ในระยะยาวเชื่อว่ากองทุนนี้จะไปได้ดี เหมือนกองทุนประกันสังคมที่ต้องใช้เวลาสักระยะในตอนแรก แต่ในที่สุดก็กลายเป็นกองทุนใหญ่ในปัจจุบัน"
ผศ.ดร.ปกป้อง กล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า กองทุนยุติธรรมรูปแบบใหม่ที่เสนอจะเป็นอีกหนึ่งกลไกในกระบวนการยุติธรรมที่จะสร้างความยุติธรรมให้กับผู้ยากไร้ในสังคมและลดความเหลื่อมล้ำในกระบวนการยุติธรรมได้อย่างแท้จริง
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ : ผศ.ดร.ปกป้อง ศรีสนิท (ภาพจาก ทีดีอาร์ไอ)