กสม. เร่งแก้ไขปัญหาโรฮิงญา
เมื่อวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ณ ห้องประชุมศาลากลางจังหวัดสงขลา ได้มีการประชุมร่วมเพื่อรับฟังและแสวงหาแนวทางการให้ความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหากรณีชาวโรฮิงญาอพยพเข้ามาในประเทศไทย ผู้เข้าร่วมประชุม ประกอบด้วย ศาสตราจารย์ ดร. อมรา พงศาพิชญ์ ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ นายไพบูลย์ วราหะไพฑูรย์ และนายแพทย์นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ คณะอนุกรรมการด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง คณะอนุกรรมการปฏิบัติการยุทธศาสตร์ด้านสิทธิมนุษยชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) นายกฤษฎา บุญราช ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ผู้แทนหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ผู้แทนสำนักจุฬาราชมนตรี ผู้แทนชาวโรฮิงญาที่อยู่ในประเทศไทย ผู้แทนสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UN OHCHR) ผู้แทนกาชาดสากล ผู้แทนสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (FCCT) กงสุลมาเลเซียประจำสงขลา
ด่านตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสงขลาระบุข้อมูลว่า นับตั้งแต่ต้นเดือนมกราคมถึงวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๕๖ ชาวโรฮิงญาสัญชาติพม่าที่ถูกควบคุมไว้ มีจำนวน ๘๗๘ คน พบว่า มีผู้ให้ที่พักพิงและกักขัง ๑๑ คน มีการออกหมายจับ ๓ คน นอกจากนี้ ยังส่งชาวโรฮิงญาไปฝากขังยัง ตรวจคนเข้าเมืองสะเดา ปาดังเบซาร์ สถานีตำรวจภูธรต่าง ๆ สำหรับผู้เป็นเด็กและสตรีได้ถูกส่งไปยังบ้านพักเด็กจังหวัดสงขลา และจังหวัดใกล้เคียง
สำหรับจำนวนชาวโรฮิงญาปัจจุบันมีจำนวน ๑,๗๖๙ คน โดยได้แยกย้ายไปฝากขัง ณ ด่านตรวจคนเข้าเมืองปาดังเบเซาร์ ด่านตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดตราด ด่านตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดอุบลราชธานี ด่านตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดมุกดาหาร และบ้านศรีสุราษฎร์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี รวมถึงบ้านพักเด็กต่าง ๆ
จากการรับฟังปัญหาของหน่วยงานปฏิบัติทุกฝ่ายที่ให้การดูแลชาวโรฮิงญา พบว่า มีปัญหาในเรื่องการขาดแคลนล่ามเพื่อใช้ในการสื่อสารกับชาวโรฮิงญา ปัญหาการทะเลาะเบาะแว้ง การทำร้ายร่างกาย ปัญหาการทำลายทรัพย์สินของทางราชการ ปัญหาเรื่องการคัดกรองในเบื้องต้น พนักงานสอบสวนได้สอบปากคำแล้วไม่พบว่าเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์ แต่ยังไม่มีกระบวนการคัดแยกว่ามีกระบวนการนำพาลักษณะใด เนื่องจากการสัมภาษณ์และการคัดแยกเหยื่อ มีช่วงเวลาจำกัด เจ้าหน้าที่จากกรมสอบสวนคดีพิเศษเสนอว่า ควรมีการสอบข้อเท็จจริงใหม่ นอกจากนั้น ยังพบปัญหาการให้คำจำกัดความในเรื่อง “การค้ามนุษย์” ของกฎหมายไทยและกฎหมายสากล ปัญหาในเรื่อง พ.ร.บ. คนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ นอกจากนั้น ยังมีข้อจำกัดในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ทั้งนี้ ผู้แทนสำนักจุฬาราชมนตรีเสนอให้ใช้มัสยิดกลางจังหวัดสงขลาเป็นพื้นที่ให้การดูแลชาวโรฮิงญา
ข้อสรุปที่ได้จากการประชุมเพื่อกำหนดแนวทางที่ต้องดำเนินการต่อไป ประกอบด้วย
๑. เรื่องการหาผลประโยชน์จากผู้อพยพโรฮิงญา จากการสัมภาษณ์เด็กที่อยู่ในบ้านพักเด็ก จังหวัดสตูล พบว่ามีการข่มขู่ เรียกรับเงินและน่าเชื่อได้ว่ามีกระบวนการนำพา ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษควรหาข้อมูลเพิ่ม เพื่อให้ได้ทราบข้อเท็จจริงและพบตัวการที่กระทำความผิด
๒. การกระจายการดูแลชาวโรฮิงญาไปตามจังหวัดต่าง ๆ ทำให้มีสภาพบ้านแตก สมาชิกในครอบครัวต้องอยู่กันคนละที่ ไม่ได้อยู่รวมกัน ทำให้ไม่ได้เห็นภาพรวม ต้องมีการจัดหาที่พักพิงชั่วคราวให้อยู่ที่ส่วนกลาง
๓. ปัญหาชาวโรฮิงญาเป็นปัญหาในระดับภูมิภาค และระดับสากล ต้องมีการประสาน
กลไกรัฐ กลไกอาเซียน และองค์การสหประชาชาติ เพื่อร่วมแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ
๔. กลไกอาเซียนที่เกี่ยวข้องกับปัญหาโรฮิงญามิได้มีเพียงมิติด้านความมั่นคงประการเดียวต้องนำมิติสังคมและวัฒนธรรมมาร่วมพิจารณาด้วย โดยต้องพิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาที่ชัดเจน
๕. การส่งเสริมองค์ความรู้แก่ประชาชนทั่วไปเกี่ยวกับเรื่องชาวโรฮิงญาว่าเป็นใคร ได้รับความเดือดร้อนจากสาเหตุใดจึงต้องหลบหนีเข้าเมืองมาเพื่อหาที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัย ซึ่งสำนักงาน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติจะดำเนินการในเรื่องดังกล่าว
๖. การให้ความช่วยเหลือชาวโรฮิงญาต้องยึดหลักสิทธิมนุษยชน แทนที่จะใช้หลัก
ความมั่นคง โดยต้องมีการปรับใช้ให้เหมาะสม ในอนาคตการให้ความช่วยเหลือแก่เด็กและสตรีจะมีเพิ่มขึ้น ซึ่งจะยึดหลักปฏิบัติตามอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกประติบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (CEDAW) และอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC)
