เสียงจากเด็กไร้สัญชาติ วอน ‘ไทย-พม่า’ ร่วมมือแก้ปัญหาเสียที
ปัญหาเด็กไร้สัญชาติยังคงเป็นอีกปัญหาใหญ่สำหรับประเทศ และอาจกลายเป็นปัญหาสำคัญสำหรับประชาคมอาเซียนในอนาคตด้วย หากไม่มีการเตรียมการแก้ปัญหากันเสียตั้งแต่วันนี้
เมื่อเร็วๆ นี้ โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดเสวนา "คนไร้รัฐ กับประชาคมอาเซียน" ขึ้นเพื่อทำความเข้าใจต่อปัญหาคนไร้รัฐ ไร้สัญชาติ
"ดวงตา หม่องภา" นักศึกษาโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หนึ่งในบุคคลที่ยังตกอยู่ในช่องว่างของกฎหมาย และถือเป็นกรณีตัวอย่างของเด็กไร้สัญชาติในประเทศไทยที่เราควรทำความเข้าใจ
ขณะนี้ "ดวงตา" นักศึกษาชั้นปีที่ 1 วัย 22 ปี มีสถานะเป็นบุคคลไม่ไร้รัฐ แต่ยังไร้สัญชาติ เธอถ่ายทอดเรื่องราวในชีวิตของเธอเป็นภาษาไทยที่ชัดเจนทั้งภาษา สำเนียง แถมยังเข้าใจง่ายกว่าคนไทยหลาย ๆ คนเสียอีก....
"ครอบครัวของดิฉันเป็นครอบครัวที่อพยพมาจากพม่า พ่อเป็นคนชาติพันธุ์ยะไข่ที่อยู่ในรัฐยะไข่ ที่ออกจากรัฐตั้งแต่ราว 7 ขวบหลังผู้เป็นพ่อและแม่เสียชีวิต ส่วนแม่เป็นคนชาติพันธุ์ไทยใหญ่อยู่ในรัฐฉาน พ่อและแม่ได้อยู่กินฉันสามีภรรยาที่รัฐฉานมาโดยตลอด
พ่อ แม่ ดวงตา และน้องชาย ได้เข้ามาในประเทศไทยเมื่อปี 2543 ด้วยเหตุผลคือเข้ามาหาคุณยายที่เข้ามาก่อนแล้วกว่า 20 ปี และมาหางานทำ ขณะนั้นเธออายุได้ 9 ขวบ
จุดแรกที่เข้ามาในประเทศไทยคือที่ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่
"ตอนที่เข้ามา ฟัง พูด ภาษาไทยไม่ได้เลย ไม่มีเอกสารแสดงตัวใด ๆ ตอนนั้นจึงอยู่ในสถานะคนไร้รัฐ ไร้สัญชาติ ไร้รัฐก็คือการที่ไม่มีรัฐใด ๆ ในโลกนี้บันทึกข้อมูลว่า มีบุคคลคนนี้อยู่ และไร้สัญชาติก็คือยังไม่มีการยอมรับความเป็นชาติของบุคคลนั้น ๆ"
หลังจากที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยแล้ว ได้ทำงานรับจ้างต่าง ๆ ไปเรื่อย ๆ ในปี 2544 พ่อกับแม่ของดวงตา ได้ขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวเพื่อทำบัตรอนุญาตทำงาน ทันทีที่ได้ขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าว ความไร้รัฐของพ่อกับแม่ก็หายไป เพราะรัฐไทยมีการบันทึกข้อมูลไว้แล้ว
ในขณะที่ ดวงตากับตัวน้องชาย ก็ยังมีสถานะเป็นบุคคลไร้รัฐไร้สัญชาติ เช่นเดิม
กระทั่งในปีนั้นเอง ดวงตาได้เข้าเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 แต่ก็มีความโชคดีตรงที่ ครูที่โรงเรียนมีความเข้าใจในสิทธิด้านการศึกษา แม้ว่าเธอจะมีสถานะไร้รัฐไร้สัญชาติก็ตาม
"ดิฉันได้เรียนเช่นเดียวกันเด็กคนไทยทุกคน เมื่อเรียนชั้น ม. 3 จากเชียงใหม่ ก็ได้มาต่อมัธยมปลายที่โรงเรียนมูลนิธิวัดสระแก้ว จ.อ่างทอง ซึ่งทำให้ได้รู้จักกับมูลนิธิพุทธรักษา ที่เป็นผู้ให้ทุนการศึกษามาจนถึงทุกวันนี้
ในปี 2554 รัฐมีนโยบายขจัดความไร้รัฐในกลุ่มนักเรียนนักศึกษา ทำให้ดิฉันได้รับบัตรบุคคลผู้ไม่มีสถานะทางทะเบียน ที่รหัสประจำตัวจะขึ้นต้นด้วยเลข "0" นั่นทำให้สถานะความไร้รัฐของดิฉันหายไป กลายเป็นบุคคลที่มีรัฐแต่ยังไม่มีสัญชาติ
และเมื่อปีที่แล้ว (2555) รัฐบาลมีนโยบายให้มีการพิสูจน์สัญชาติแรงงานต่างด้าว พ่อ แม่ ได้ไปทำการพิสูจน์สัญชาติ และได้รับสัญชาติพม่าแล้ว ทำให้ "ไม่ไร้รัฐ ไร้สัญชาติ" อีกต่อไป ในขณะที่ดวงตา ยังคงสถานะเป็นคนไร้สัญชาติอยู่ ส่วนน้องชายของดวงตา ก็ยังอยู่ในสถานะบุคคลไร้รัฐไร้สัญชาติ เพราะนโยบายการแก้ปัญหาแรงงานต่างด้าวดังกล่าว ไม่ได้มีการพูดถึงในเรื่อง "การแก้ปัญหาบุตรแรงงานต่างด้าว"
"หากจะพิสูจน์สัญชาติ ก็จะต้องใช้ทะเบียนประวัติในการทำ จึงอยากจะได้ความชัดเจนในเรื่องการแก้ปัญหาบุตรแรงงานจากรัฐบาลไทยและพม่า จะเห็นว่าครอบครัวของดิฉัน คือ พ่อแม่ ดิฉันและน้องชาย ก็ยังมีสถานะกันไปคนละทาง" ดวงตา สะท้อนให้เห็นถึงปัญหา และเห็นว่า...
สภาพความไร้รัฐ ไร้สัญชาติ นั้นสร้างปัญหาและอุปสรรคมากมาย โดยเฉพาะการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานเรื่อง "การศึกษา" และ "การรักษาพยาบาล"
"ดิฉันไม่มีปัญหาในเรื่องนี้ แต่ในขณะที่เพื่อน ๆ และเด็ก ๆ อีกหลายคนไม่ได้รับสิทธินี้ ด้วยความที่ครอบครัวไม่มีเอกสารใด ๆ บวกกับค่ายาราคาสูง รวมทั้งการไม่ได้รับความใส่ใจจากเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล เวลาเจ็บป่วยจึงเป็นการซื้อยามากินเองและหาหมอในหมู่บ้าน
นอกจากนี้เรื่องสิทธิในการเดินทาง เนื่องจากข้อมูลส่วนตัวของดิฉันถูกบันทึกอยู่ที่ อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง บัตรผู้ไม่มีสถานะทางทะเบียนจะควบคุมเขตพื้นที่ด้วยว่า สามารถอยู่ได้เฉพาะในเขต อ.ป่าโมก การที่ดิฉันได้มาเรียนอยู่ที่ธรรมศาสตร์ ก็จะต้องไปทำเรื่องขออนุญาตออกนอกพื้นที่เพื่อใช้สิทธิในการศึกษา ก็คือขอสิทธิในการเดินทางเพื่อมาศึกษาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
และล่าสุดโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาจะมีการไปทัศนศึกษาที่ประเทศกัมพูชา ดิฉันก็ต้องทำเรื่องขออนุญาตไปต่างประเทศ ซึ่งกระบวนการทำนั้น ก็ต้องไปยื่นเรื่องตั้งแต่ที่ อ.ป่าโมก ต่อมาต้องไปยื่นเรื่องขออนุญาตออกนอกพื้นที่และกลับเข้ามายังประเทศไทยต่อกระทรวงมหาดไทย จากนั้นเมื่อได้รับอนุญาตเข้า-ออกประเทศไทยแล้ว ก็จะต้องไปขอทำหนังสือเดินทางสำหรับคนไร้รัฐจากสถานกงสุล ก่อนจะไปขอวีซ่าเข้าประเทศที่สถานทูตกัมพูชา
กระบวนการทั้งหมดนี้มันยุ่งยากซับซ้อน เวลาไปติดต่อราชการ เจ้าหน้าที่ก็จะไม่ค่อยเข้าใจเอกสารหรือไม่มีความรู้ความเข้าใจเรื่องสถานะของคนไร้รัฐไร้สัญชาติเท่าไหร่นัก
สิ่งหนึ่งที่เป็นหลักจากข้อกฎหมายคือ บุตรที่สืบสายจากบิดามารดา ก็มีสิทธิได้สัญชาตินั้น ดังนั้นตัวดิฉันและน้องชายก็ควรมีสิทธิได้รับสัญชาติพม่าเช่นเดียวกัน แต่ว่าทั้งไทยและพม่ายังไม่มีข้อกฎหมายหรือประกาศใด ๆ เพื่อแก้ปัญหาเรื่องบุตรของแรงงานต่างด้าวเลย
เธอจึงอยากเรียกร้องให้ทั้งประเทศไทยในฐานะรัฐเจ้าของตัวบุคคล และประเทศเมียนมาร์มีการเจรจาหารือเพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหานี้ต่อไป เพราะหากปัญหานี้ได้รับการแก้ไข นั่นแสดงว่า ปัญหาบุตรแรงงานต่างด้าวที่ไม่ใช่แค่ดวงตาและน้อง แต่เป็นเด็กทั่วประเทศจะได้รับการแก้ไข
ทั้งนี้เพื่อเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียน และเป็นการแก้ปัญหาด้วยความร่วมมือระหว่างสองประเทศด้วย
ฉะนั้น วันนี้ ปัญหาของเด็ก "ไร้รัฐ ไร้สัญชาติ" รัฐไทยควรจะให้ความสำคัญ เป็นปัญหาระดับประเทศที่ทุกฝ่ายควรให้ความร่วมมือกันแก้ปัญหา ด้วยหวังอย่างน้อย กรณีศึกษาเรื่องของ ดวงตา หม่องภา จะเป็นจุดเริ่มต้นในการหันมาสนใจกับปัญหาสิทธิมนุษยชนและนำไปสู่การให้ความสำคัญกับความร่วมมือระหว่างประเทศในการแก้ปัญหาของกลุ่มประเทศในอาเซียนต่อไป