ฆราวาสออนไลน์จัดหนัก!ขบวนธรรมชัย ติง “ธุดงค์” หรือ “พาเหรด”
ขบวนพระสงฆ์เดินธุดงค์ผ่านเส้นทางศูนย์กลางเมืองหลวงกรุงเทพมหานคร ในวันที่ 24-25 ม.ค.2555 ซึ่งมีพระภิกษุ 1,128 รูป ตามโครงการเดินธุดงค์ธรรมชัย เส้นทางมหาปูชนียาจารย์พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ปีที่ 2 ที่จัดโดยวัดพระธรรมกาย ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมากถึงความไม่เหมาะสมโดยเฉพาะในช่องทางสื่อออนไลน์

โดยตลอดทั้งวันของวันศุกร์ที่ 25 ม.ค.ในเฟซบุ๊ก มีการแชร์ภาพถ่ายที่พระภิกษุรูปหนึ่งกำลังเดินอยู่บนระเบียงสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างดูโดดเดี่ยว ในขณะที่อีกฝั่งเป็นขบวนธุดงค์ธรรมชัยที่มีผู้ศรัทธาแต่งกายชุดสีขาวมาจำนวนมากนั่งโปรยกลีบดอกไม้สีเหลืองต้อนรับ

ซึ่งในแง่องค์ประกอบทางความหมายของภาพถ่าย ก่อให้เกิดการเปรียบเทียบถึงความแตกต่างระหว่างสองสิ่งที่ชวนให้คิดเป็นยิ่งนัก
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ตรวจสอบพบว่า ภาพถ่ายภาพนี้มาจากกระทู้หนึ่งในเว็บไซต์พันทิป ซึ่งได้รับการโหวตเป็นกระทู้แนะนำ ชื่อกระทู้ว่า ภาพเดียวแทนคำพูดได้หลายคำ..."สวนทาง"... โดยผู้ตั้งกระทู้ที่ชื่อ "ต่อmcu" โพสต์เมื่อเวลา 8:31 น.ของวันที่ 24 ม.ค.2556
ทำให้มีผู้แสดงความคิดเห็นทั้งที่เห็นไปในทางเดียวกับผู้ตั้งกระทู้และที่เห็นแย้งกว่าร้อยความเห็น และเป็นที่น่าสังเกตว่า "ต่อmcu" ผู้ตั้งกระทู้จะเข้ามาตอบความคิดเห็นแย้งอยู่เป็นระยะโดยตลอด
อาทิ ความเห็นแย้งว่า...
“ภาพนี้ไม่ได้สวนทาง...แต่ทำคนละภารกิจ สายหนึ่งบิณฑบาต...สายหนึ่งเดินธุดงค์ทั้งสองสายก็เป้าหมายเดียวกัน คือ โปรดสัตว์โลก และทำพระนิพพานให้แจ้ง”
“จะธุดงค์หรือไม่ กทม.ก็รถติดอยู่แล้ว เวลามีม็อบ มีกีฬารถก็ติด นี่รถติด แต่ได้เห็นพระมาเป็นบุญตาให้เห็นเป็นพัน ๆ ดีกว่าเยอะ”
“จัดเดินธุดงค์ในกรุงนั้นผมว่าสุดยอดไปเลยครับ เพราะถ้าท่านไปปลีกวิเวกในป่าผมคงไม่ได้เห็นภาพที่ทำให้เกิดความปลื้มปีติขนาดนี้ อีกทั้งยังได้ต้อนรับพระธุดงค์ด้วยการโปรยดอกไม้ด้วย ทำให้เกิดบุญกุศล เห็นพระธุดงค์ท่านเดินด้วยความสงบเสงี่ยมสง่างาม ยังสงสัยว่าวัดพระธรรมกายท่านอบรมพระเณรของท่านอย่างไรหนอ”
ผู้ตั้งกระทู้แสดงความเห็นตอบว่า...
“ทุกข์ของชาวเมืองใหญ่ๆ ในปัจจุบันคือปัญหาจราจร...อย่าไปเพิ่มทุกข์ให้เขานะ...และ อย่ามาอ้างว่า แหม แล้วทีทำอย่างอื่น เช่น ปิดประท้วงก็ทำให้รถติด ก็แหม สิ่งดี ๆ ท่านไม่ทำ ท่านดันจะไปเลียนแบบสิ่งที่ไม่ดีทำไมเล่า”
“...ที่เดินไปเดินมานี้ เรียกขบวนพาเหรดเพราะมีรถนำหน้า พระธุดงค์ที่แท้จริงที่เดินตามป่าเขา เมื่อจะต้องเดินบนถนน ต้องระมัดระวังรถ ไม่ให้รถชน ไม่ใช่ปิดถนนให้ตนเองได้เดินสบาย”
นอกจากนี้มีคอมเมนต์หนึ่งได้นำภาพหน้าเพจเฟซบุ๊กส่วนตัวของพระรูปหนึ่ง ซึ่งตั้งสถานะว่า
"ฝากถึงลูก ๆ พระธัมฯ ทุกคน เนื่องจากวันนี้มีข่าวจากพระกองพันว่า วันนี้เดินเหยียบหนาม ซึ่งไม่รู้ว่ามาได้อย่างไร และก่อนหน้านั้นเจอตะปู เลยอยากให้เราทุก ๆ คนช่วยกันตรวจสอบก่อนพระมาถึง ซึ่งเราไม่ทราบว่าใครแฝงตัวเข้ามา อยากให้ทุก ๆ คนช่วยดูแลอนุโมทนาบุญกับทุก ๆ คนด้วย"

ซึ่งผู้ตั้งกระทู้ได้คอมเมนต์ตอบต่อมาว่า “ถ้าเดินในป่าเขาลำเนาไพร สถานที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญสนับสนุนให้พระภิกษุสงฆ์เข้าไปบำเพ็ญเพียรเจริญสติเดิน ทำกรรมฐาน โดนหนามเป็นเรื่องเล็กน้อย ท่านก็ไม่ต้องกังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้นนะครับ เดินเข้าป่าคอนกรีตก็เป็นอย่างนี้แหละครับ ยิ่งเดินแบบมีดอกไม้คลุมทาง ยิ่งมองตะปูไม่เห็น และชาวพุทธแท้ไม่สนับสนุนความรุนแรงนะครับ อย่าเพิ่งไปกล่าวหาใคร”
ดูเหมือนความคิดเห็นที่แย้งกันระหว่างสองฝ่ายดังกล่าว จะมุ่งไปที่การตีความว่าการ “ธุดงค์” ที่แท้จริง คืออะไรกันแน่
เว็บไซต์ธรรมกายมีคำชี้แจงระบุว่า
“เมื่อพูดถึง “ธุดงค์” หรือ “พระธุดงค์” คนทั่วไปนึกถึง พระแบกกลดเข้าป่า แสวงหาที่สงบ สงัด วิเวก ปฏิบัติธรรม จริงๆ แล้ววัตถุประสงค์การเดิน “ธุดงค์ในเมือง” ไม่ต่างจากการเดินธุดงค์ในป่า
เดินในป่าสู้กับกิเลสในตัวและอันตรายรอบด้าน แต่เดินในเมือง ก็สู้กับกิเลสในตัวแล้ว ยังต้องฝ่ากิเลสของคนอื่นด้วย…การที่พระออกมาเดินธุดงค์ในเมือง ก็เพื่อยืนยันว่า ยังมีผู้ที่ยังสนใจศรัทธามาฝึกตัวและบวชในบวรพระพุทธศาสนาอีกเป็นจำนวนมาก…
พระที่มาเดินธุดงค์กว่าพันรูป ก่อนเดินท่านก็ฝึกตัวมากว่า 5 เดือน นั่งสมาธิอย่างเข้มข้นตลอดเดือนธันวาคม และ ขณะเดินทำสมาธิ มีพุทธานุสสติ มีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ (กรรมฐาน) ระลึกถึงคุณพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปด้วย
...ถ้าพระก็เดินส่วนพระ โยมก็นอนอยู่บ้าน พระศาสนาจะเจริญได้อย่างไร? และถ้าเดินโดยไม่สนใจญาติโยม ก็ไปเดินในป่าก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเดินในเมืองที่ต้องฝ่าแดด ฝ่าฝุ่นพิษจากควันรถต่าง ๆ
แต่ถ้าใครบอกว่า เดินสบายเหลือเกิน ปูเสื่อ โรยดอกไม้ มีญาติโยมมาต้อนรับตลอดทาง เหมือนเดินอยู่บน ‘แคตวอก’ ก็แสดงว่า คนเหล่านั้น ไม่เคยเดินธุดงค์ เพราะถ้าเดินในป่าซึ่งก็ร่มรื่น หรือ เดินตามต่างจังหวัดก็สัมผัสธรรมชาติ เดินไปเรื่อย ๆ เปลี่ยนอิริยาบถเมื่อไรก็ได้ แต่เดินในเมืองที่อยู่ในสายตาผู้คนตลอดสองข้างทางนั้น พระธุดงค์ในเมืองต้องมีสติ สำรวมกิริยาตลอดเวลา ไม่เผลอสติกันเลยทีเดียว
ส่วนว่า อาจมีการชะลอตัวของการจราจรบ้าง ก็ได้ประสานงานกับทางตำรวจจราจรไว้แล้ว ในการอำนวยความสะดวก ต้องบอกว่า เพราะรถเยอะรถจึงติด เป็นเรื่องธรรมดา หรือเมื่อมีเหตุการณ์พิเศษก็มีรถติดอยู่แล้ว เช่น คอนเสิร์ตใหญ่ อุบัติเหตุ ฝนตกหนัก ประท้วง คนเมายาบ้าก่อคดีกลางถนน แห่นางงาม แห่ถ้วยฟุตบอล แห่นักกีฬาได้เหรียญรางวัล ฯลฯ ดังนั้น ครั้งนี้ก็เป็นการขอพื้นที่จราจร เพื่อกิจกรรมทางด้านศีลธรรมบ้าง ก็เป็นการเผื่อแผ่แบ่งปันกันไป”
สำหรับความหมายของ "ธุดงค์" พบข้อมูลระบุว่า ธุดงค์ คือวัตร หรือแนวทางการปฏิบัติจำนวน 13 ข้อ ที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตไว้ เป็นอุบายวิธีกำจัดขัดเกลากิเลส ทำให้เกิดความมักน้อยสันโดษยิ่งขึ้น ไม่สะสมกิเลสแต่ไม่มีการบังคับ แล้วแต่ผู้ใดจะสมัครใจปฏิบัติ เช่น ข้อปฏิบัติให้
"อยู่ป่าเป็นวัตร" คือจะอยู่อาศัยเฉพาะในป่าเท่านั้น จะไม่อยู่ในหมู่บ้านเลย เพื่อไม่ให้ความพลุกพล่านวุ่นวายของเมืองรบกวนการปฏิบัติ หรือเพื่อป้องกันการพอกพูนของกิเลส
"อยู่โคนไม้เป็นวัตร" คือจะพักอาศัยอยู่ใต้ต้นไม้เท่านั้น งดเว้นจากการอยู่ในที่มีหลังคาที่สร้างขึ้นมามุงบัง
ส่วนการปฏิบัติธุดงค์ด้วยการ "ออกเดินทาง" นั้นเป็นวิธีปฏิบัติพิเศษ ซึ่งประเทศไทยมักคุ้นเคยจากการเห็นการเดินธุดงค์ในป่าของพระวัดป่า ซึ่งต่างจากคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา เพราะการธุดงค์ตามคัมภีร์ที่มีข้อสมาทาน 13 ข้อนั้น ผู้ปฏิบัติไม่จำเป็นต้องเดินเที่ยวไปทั่ว (อ่านรายละเอียด)
ซึ่งทางวัดธรรมกายชี้แจงว่า พระในโครงการธุดงค์ธรรมชัย เลือกถือธุดงควัตรเพียง 2 ข้อ คือ
1) ถือการฉันในอาสนะเดียวเป็นวัตร คือ ในแต่ละวันจะฉันอาหารเพียงครั้งเดียว ไม่บริโภคอาหารอื่นอีก นอกจากน้ำปานะ หรือน้ำดื่ม
2) ถือการอยู่ในเสนาสนะที่เขาจัดไว้ให้เป็นวัตร คือเมื่อเจ้าหน้าที่ให้ไปพักที่ไหน หรือจัดที่พักอย่างใดไว้ให้ ก็พักอาศัยในที่นั้น ๆ โดยไม่เลือกว่าสะดวกสบาย หรือถูกใจหรือไม่
นอกจากนี้ยังมีผู้แสดงความเห็นเชิงสรุปในท้ายที่สุดด้วยว่า
“แม้คุณ ๆ จะปฏิบัติธุดงควัตรเพียง 2 ข้อจาก 13 ข้อ แล้วมาอวดเบ่งว่าเป็นการปฏิบัติธรรมอันยิ่งยวดนั้น มันก็อ้างไม่ขึ้น ต่อให้คณะของคุณ ๆ ทั้งหลายปฏิบัติธุดงควัตรครบทั้ง 13 ข้อ แต่มากระทำบนความเดือดร้อนของชาวบ้านชาวช่องแล้วล่ะก็ มันก็ไม่ใช่แนวทางของพระพุทธศาสนาอยู่ดี...แม้จะกระทำการบูชาครูบาอาจารย์อย่างไร แต่ถ้ากระทำบนความเดือดร้อนของชาวบ้านชาวช่องนั้น ก็ไม่ใช่แนวทางของพระพุทธศาสนาแล้วล่ะครับ”
