ปชช.สับร่างกรอบเอฟทีเอไทย-ยุโรป เสียค่าโง่ต่างชาติ สภาธุรกิจแถลง 24 ม.ค.
ประชาสังคมรุมสับกรมเจรจาฯ เปิดรับฟังความเห็นกรอบเจรเอฟทีเอไทย-ยุโรปแค่พิธีกรรม ชี้ตีเช็คเปล่าให้เสียค่าโง่ต่างชาติ ภาคเกษตร-สาธารณสุขไทยเสียประโยชน์ แลกแค่จีเอสพีการค้า จี้ปรับปรุงก่อนส่งสภาฯ
วันที่ 21 ม.ค.56 นายนิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ เปิดเผยว่าร่างกรอบเจรจาเอฟทีเอไทย-สหภาพยุโรปเพิ่งได้รับการเผยแพร่เมื่อไม่นานมานี้ ทั้งที่ผ่าน ครม.เกือบ 2 เดือนแล้ว ภาคประชาสังคมที่ติดตามการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ มีความกังวลต่อเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์ของประชาชนในภาพรวมซึ่งเขียนไว้เพียงกว้างๆเท่านั้น ขณะที่เนื้อหาที่ภาคธุรกิจต้องการกับเขียนอย่างรัดกุม ดังนั้นผลจากการรับฟังความคิดเห็น 23 ม.ค.นี้ ควรนำไปสู่การปรับปรุงร่างกรอบเจรจาก่อนส่งเข้าสู่การพิจารณารัฐสภา
“ทรัพย์สินทางปัญญาข้อ 5.11.1 ระบุว่า ‘ให้ระดับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาสอดคล้องระดับการคุ้มครองตามความตกลงองค์การการค้าโลกและ/หรือความตกลงใดๆที่ไทยเป็นภาคี’ ซึ่งก่อนหน้านี้กรมเจรจาฯยอมรับว่าเขียนเช่นนี้อนุญาตให้เจรจาความตกลงที่เกินไปกว่าความตกลงทริปส์ได้ แม้จะพยายามเขียนข้ออื่นๆให้เหมือนเป็น safeguard แต่เอกสารที่ อย.นำเสนอต่อคณะกรรมาธิการของรัฐสภา ระบุว่า
“ผลกระทบที่สำคัญคือการผูกขาดข้อมูลทางยาจะขัดขวางการบังคับใช้สิทธิตามสิทธิบัตรของรัฐเพื่อสาธารณประโยชน์ (ซีแอล) มิให้เกิดผลในทางปฏิบัติได้ เว้นแต่จะได้บัญญัติให้เป็นข้อยกเว้นในกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากการประกาศซีแอลเป็นการยกเว้นสิทธิตามสิทธิบัตรในระบบสิทธิบัตร แต่การผูกขาดข้อมูลทางยาเป็นมาตรการขัดขวางการขึ้นทะเบียนยาของผู้ผลิตรายอื่นที่ผลิตยาตามการประกาศซีแอล ซึ่งเป็นข้อกำหนดตามพระราชบัญญัติยา” ดังนั้น ในทางปฏิบัติจะไม่สามารถช่วยอะไรได้เลยตามที่ อย.ระบุไว้
นายนิมิตร์ กล่าวอีกว่าหากประเทศไทยถูกผูกมัดด้วยบทบัญญัติทั้งการขยายอายุการคุ้มครองสิทธิบัตร และการผูกขาดการขึ้นทะเบียนยา จะส่งผลกระทบที่ร้ายแรงต่อระบบสาธารณสุข โดยเฉพาะการบริหารจัดการยาและเวชภัณฑ์ภาครัฐอย่างรุนแรง ซึ่งหมายถึงผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตและสุขภาพของประชาชนไทย และกระทบกับความมั่นคงทางยาของประเทศในที่สุด นี่คือข้อสรุปของ อย.ที่กรมเจรจาต้องไปนำปรับปรุง
ด้านนายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี กล่าวว่าการเจรจาเอฟทีเอครั้งนี้เป็นไปเพื่อการต่อสิทธิพิเศษทางการค้า(จีเอสพี)เท่านั้น โดยเอาประโยชน์ของทั้งประเทศเข้าแลก
“กรมเจรจาฯมักอ้างว่ากรอบการเจรจาต้องเขียนให้กว้าง ซึ่งไม่เป็นความจริง จะพบว่าการปกป้องผลประโยชน์ประชาชนส่วนใหญ่ เช่น มาตรฐานแรงงานและสิ่งแวดล้อม กลับเขียนว่า ให้เท่ากับกฎหมายในประเทศเท่านั้น ซึ่งเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของภาคธุรกิจ แต่ทอดทิ้งประชาชน
การเจรจาเอฟทีเอที่ผ่านมาเมื่อภาคเกษตรไม่สามารถแข่งขันกับสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ กลุ่มธุรกิจที่ต้องการผลักดันให้มีการเจรจามักอ้างว่าภาคที่แข่งขันไม่ได้ ไม่ควรได้รับการปกป้อง แต่ภาคธุรกิจส่งออกที่พึ่งจีเอสพีทั้งกับสหภาพยุโรปและสหรัฐฯ กลับเรียกร้องการปกป้องจากรัฐบาลว่าจะสู้คู่แข่งไม่ได้ ถ้าไม่ได้รับสิทธิจีเอสพี ทั้งที่หากถูกตัดสิทธิจะเสียเปรียบคิดเป็นมูลค่า 80,000 ล้านบาทเท่านั้น”
ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี กล่าวเพิ่มเติมว่าร่างกรอบเจรจาฯนี้ไม่ได้ใส่ใจต่อเกษตรที่จะต้องซื้อเมล็ดพันธุ์แพง 3-4 เท่าตัว และนำไปสู่กระทบความมั่นคงด้านอาหาร หากรัฐบาลไปยอมขยายระยะเวลาการคุ้มครองพันธุ์พืชและผูกขาด ขณะที่เรื่องการแบ่งปันผลประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพ ซึ่งประเทศไทยควรได้ประโยชน์กลับระบุให้เป็นแค่ความร่วมมือซึ่งไทยจะไม่ได้ประโยชน์เต็มที่
ภก.สงกรานต์ ภาคโชคดี ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า กล่าวว่าการค้าเสรีจะทำให้สินค้าราคาถูกลง บริการดีขึ้น โฆษณาทำการตลาดได้เสรี หลักการนี้จึงควรใช้กับสินค้าที่มีประโยชน์กับมนุษย์เท่านั้น แต่เครื่องดื่มแอลกฮอล์ฆ่าคนไทยปีละ 26,000 คน ตกราวชั่วโมงละ 3 คน และยังทำลายครอบครัวเยาวชนอีกมากมาย เป็นสาเหตุมากกว่า 60 โรค ถ้าปล่อยให้ค้าเสรีจะกลายเป็น “การฆ่าเสรี”มากกว่า ที่ผ่านมากรมเจรจาฯเปิดรับฟังแต่ไม่เคยใส่ใจเรื่องภัยแอลกอฮอล์ ทำให้ร่างกรอบเจรจาฯไม่ได้วางแนวป้องกันไว้
“รัฐบาลนี้เคยเป็นเจ้าภาพการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนบวกจีนที่ไทย ก.ค.55 ข้อสรุปสนับสนุนให้ถอนสินค้าเหล้าบุหรี่ออกจากสินค้าปลอดภาษี เพราะทำร้ายสุขภาพ สอดคล้องกับความเห็นธนาคารโลกที่แนะนำว่าประเทศใดควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้มาก จะยิ่งทำให้เศรษฐกิจและสังคมดีขึ้น เหตุใดรัฐบาลจึงละทิ้งความมุ่งมั่นดังกล่าวเพื่อแลกกับผลประโยชน์ทางการค้าเฉพาะหน้าเช่นนี้”
รศ.ดร.จิราพร ลิ้มปานานนท์ สมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่าดีใจที่กรมเจรจาฯยอมเปิดรับฟังและเผยแพร่ร่างกรอบเจรจาฯ 18 ม.ค.ที่ผ่านมา แต่ควรนำไปสู่การทบทวน ไม่ใช่แค่พิธีกรรมดังที่ผ่านมา โดยเฉพาะทรัพย์สินทางปัญญาที่ต้องไม่เกินความตกลงทริปส์ ทั้งนี้ประสบการณ์อินเดียพิสูจน์ว่าเรื่องนี้ไม่ได้ทำให้การเจรจาเอฟทีเอเดินหน้าไม่ได้ ตามที่กรมเจรจาฯและภาคธุรกิจอ้าง
นายจักรชัย โฉมทองดี ผู้ประสานงานเอฟทีเอว็อทช์ กล่าวว่ายังน่าห่วงประเด็นการลงทุนข้อ 5.9.5 เปิดโอกาสให้ใช้กระบวนการอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศเป็นทางเลือกในการระงับข้อพิพาท หรือเรียกว่ากลไกระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐและเอกชน (Investor State Dispute Settlement – ISDS) ซึ่งรัฐบาลออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และญี่ปุ่นต้องการยกเว้นไม่เจรจาในการเจรจา TPP ที่ดำเนินอยู่ในขณะนี้ เนื่องจากประเทศในความตกลง NAFTA เคยถูกนักลงทุนต่างชาติใช้กลไกดังกล่าวฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายและล้มนโยบายสาธารณะมามากแล้ว แต่ร่างกรอบเจรจาฯเอฟทีเอไทย-สหภาพยุโรปกลับเปิดทางให้
“จากการเสียค่าโง่อยู่บ่อยครั้ง ทำให้คณะรัฐมนตรีเคยมีมติ ครม.ปลายปี 2552 “ให้การทำสัญญาทุกประเภทระหว่างหน่วยงานรัฐกับเอกชนในไทยหรือต่างประเทศ ไม่ควรเขียนผูกมัดให้มอบข้อพิพาทให้คณะอนุญาโตตุลาการเป็นผู้ชี้ขาด แต่หากมีปัญหาหรือความจำเป็นหรือเป็นข้อเรียกร้องของคู่สัญญาอีกฝ่ายที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติเป็นรายๆไป” โดยเหตุผลที่สำคัญคือ “เมื่อมีเหตุต้องดำเนินการตามวิธีการอนุญาโตตุลาการแล้ว ส่วนใหญ่หน่วยงานรัฐจะแพ้คดีต้องชดใช้ค่าเสียหายอันเป็นภาระงบประมาณแผ่นดิน” ซึ่งมติครม.นี้ยังถือปฏิบัติอยู่ในปัจจุบัน แต่การทำเอฟทีเอที่เปิดช่องเช่นนี้เท่าตีเช็คเปล่าให้เกิดค่าโง่เรื่อยๆซึ่งจะกระทบทั้งงบประมาณแผ่นดินและการทำนโยบายสาธารณะของประเทศ”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ด้าน “สภาธุรกิจไทย-สหภาพยุโรป” ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยคณะกรรมการร่วม 3 สถาบันภาคเอกชน (กกร.)อันประกอบด้วยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย จะแถลงข่าว “แสดงท่าทีของภาคเอกชนเรื่องการเปิดเจรจาการค้าเสรีระหว่างไทย-สหภาพยุโรป” 24 ม.ค.56 เวลา 10.30 - 11.45 น. ที่ธนาคารกรุงเทพ สำนักงานใหญ่ สีลม .