เอแบคโพลล์ชี้ ‘ยิ่งลักษณ์’ มีภาวะผู้นำสูงขึ้น-คนไทยยังเชื่อมั่นเทคะแนน ‘เพื่อไทย’
เอแบคโพลล์ชี้นายกฯ ยิ่งลักษณ์ มีดัชนีภาวะผู้นำสูงขึ้น โดยเฉพาะความสุภาพพุ่งร้อยละ 85 เตือนจับตานโยบายแก้ปัญหาความขัดแย้งส่อเหลว ระบุถ้าเลือกตั้งวันนี้คนไทยยังเทคะแนนเพื่อไทย
ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในดัชนีภาวะความเป็นผู้นำของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรี พบว่า แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในดัชนีภาวะความเป็นผู้นำของนายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ระหว่างต.ค. ปี 55 กับม.ค. ปี 56 มีดัชนีภาวะความเป็นผู้นำที่ชาวบ้านระบุว่าเพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้นมากที่สุดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ หรือกล่าวได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงในระดับที่ ‘น่าพอใจ’ ได้แก่ ความสุภาพอ่อนโยน จากร้อยละ 51.9 ในต.ค. ปี55 มาอยู่ที่ ร้อยละ 85.0 ในม.ค. ปี 56 โดยมีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางบวกถึงร้อยละ 33.1 รองลงมาคือ ความอดทนอดกลั้น รู้จักควบคุมอารมณ์ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 47.8 ในต.ค. ปี55 มาอยู่ที่ร้อยละ 78.1 ในม.ค. ปี 56 และความโอบอ้อมอารี เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 54.0 มาอยู่ที่ร้อยละ 74.8 คือมีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางบวกถึงร้อยละ 30.3 และร้อยละ 20.8 ตามลำดับ
ดร.นพดล กล่าวต่อว่า ส่วนตัวชี้วัดอื่น ๆ ที่น่าสนใจ คือ มีความรู้ความสามารถ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 44.6 คือ ‘สอบตก’ ในต.ค. ปี 55 มาอยู่ที่ร้อยละ 65.0 คือ ‘สอบได้’ ในม.ค. ปี 56 ซึ่งถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติถึงร้อยละ 20.4 นอกจากนี้ ตัวชี้วัดด้านการประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 53.5 มาอยู่ที่ร้อยละ 70.9 มีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางบวกถึงร้อยละ 17.4 และความเป็นคนรุ่นใหม่ มีกรอบแนวคิดการมองอะไรใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 60.9 มาอยู่ที่ร้อยละ 73.0
สำหรับตัวชี้วัดความเป็นผู้นำที่พบว่า มีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางบวกแต่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติหรือกล่าวว่าอยู่ในระดับที่ ‘ค่อนข้างน่าพอใจ’ ได้แก่ ความมีวิสัยทัศน์ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 53.7 มาอยู่ที่ร้อยละ 63.4 และด้านการได้รับการยอมรับทั้งภายในประเทศและต่างประเทศเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 58.9 มาอยู่ที่ร้อยละ 67.0
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงในความเป็นผู้นำตามทรรศนะของประชาชนที่ต้อง ‘เฝ้าระวังรักษาไว้’ ให้มีมากยิ่งขึ้น คือ ด้านจริยธรรมทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 50.8 มาอยู่ที่ร้อยละ 55.8 ด้านความเสียสละ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 55.1 มาอยู่ที่ร้อยละ 58.5 ด้านความคิดสร้างสรรค์ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 57.1 มาอยู่ที่ร้อยละ 60.1 ด้านความเป็นตัวของตัวเอง ลดลงจากร้อยละ 63.7 มาอยู่ที่ร้อยละ 61.0 คือเปลี่ยนแปลงในทางลบอยู่ร้อยละ 2.7 แต่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติและด้านความกล้าคิดกล้าตัดสินใจ ที่พบร้อยละ 52.5 ในเดือนต.ค.ปี 55 มาอยู่ที่ร้อยละ 52.8 ในม.ค. ปี 56
อย่างไรก็ตาม แสดงความกังวลกลุ่มดัชนีความเป็นผู้นำของนายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่กำลังตกอยู่ใน ‘ภาวะวิกฤตที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ’ เพราะมีอยู่ไม่ถึงร้อยละ 50 ได้แก่ การแก้ปัญหา (บริหาร) ความขัดแย้ง จากร้อยละ 49.2 ในต.ค.55 ลดลงมาอีกอยู่ที่ร้อยละ 47.7 ในม.ค.56 ด้านความรวดเร็วฉับไวในการแก้ปัญหา ลดลงจากร้อยละ 49.8 มาอยู่ที่ร้อยละ 48.5 และด้านความยุติธรรม ที่ค้นพบร้อยละ 49.6 ในต.ค. ปี 55 และร้อยละ 49.9 ในม.ค. ปี 56 และด้านความซื่อสัตย์สุจริตพบร้อยละ 51.3 ในต.ค. และร้อยละ 51.0 ในการสำรวจครั้งนี้
เมื่อสอบถามถึงความตั้งใจจะเลือกพรรคการเมือง ถ้าวันนี้เป็นวันเลือกตั้ง พบว่า จำนวนมากที่สุดหรือร้อยละ 42.8 ยังคงเลือกพรรคเพื่อไทยอีก ในขณะที่ร้อยละ 26.5 เลือกพรรคประชาธิปัตย์ และร้อยละ 30.7 เลือกพรรคอื่นๆ
ผอ.เอแบคโพลล์ กล่าวอีกว่า โมเดลความเป็นผู้นำตามกรอบแนวคิดของสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ หรือ ABAC POLL Model of PM Leadership ครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า ดัชนีความเป็นผู้นำของนายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำลังเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในหลายตัวชี้วัดและที่กำลังเด่นชัดที่สุด คือ ความสุภาพอ่อนโยน ตามด้วย ความอดทน อดกลั้น รู้จักควบคุมอารมณ์ มีความโอบอ้อมอารี แต่ดัชนีภาวะความเป็นผู้นำเหล่านี้จำเป็นต้องมีภาวะความเป็นผู้นำด้านอื่น ๆ ประกอบเสริมจึงจะทำให้เกิดเสถียรภาพความมั่นคงในความเป็นผู้นำของความเป็นนายกรัฐมนตรีอย่างยั่งยืน นั่นคือ ชาวบ้านต้องจับต้องได้ ลดความเดือดร้อนปัญหาปากท้อง ค่าครองชีพได้ ทำให้เกิดความเป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ และต้องช่วยลดความขัดแย้งแตกแยกของผู้คนในสังคมลงได้
ดร.นพดล กล่าวต่อไปว่า นายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จำเป็นต้องเร่งทำให้สาธารณชนเห็นว่า ประเทศไทยกำลังมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างชัดเจนและการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมาจากความร่วมมือของประชาชนคนไทยทั้งประเทศ จึงจะช่วยลดภาพของ ‘อคติแห่งมหานคร’ ที่เคยมีมาในอดีตที่นโยบายสาธารณะมักจะออกมาจากชนชั้นนำในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่เพียงกลุ่มเล็กๆ และผลประโยชน์ตกอยู่ในมือของคนเฉพาะกลุ่มที่เป็นกลุ่มนายทุน ข้าราชการและนักการเมือง แต่ต่อไปนี้รัฐบาลน่าจะทำให้เห็นว่าเป็น ‘ผลประโยชน์ของมหาชน’
ถ้าเลือกตั้งอีกในวันนี้ ชาวบ้านจำนวนมากที่สุดก็ยังจะเลือกพรรคเพื่อไทย เพราะสัดส่วนของผู้มีสิทธิ มีเสียงเลือกตั้งเกินครึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้งของทั้งประเทศอยู่ในพื้นที่ภาคอีสานและภาคเหนือ และแต่ละคนก็มีสิทธิ 1 เสียงเท่ากัน ไม่ใช่ว่าคนกรุงเทพมหานครจะมีสิทธิมากกว่าคนในภาคอื่น และการที่พรรคเพื่อไทยได้รับคะแนนนิยมสูงสุดเพราะพรรคเพื่อไทยมีทั้งทรัพยากรและนโยบายส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่จับต้องได้และทำให้กลุ่มคนรายได้น้อยที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศนำผลผลิตของนโยบายรัฐบาลไปใช้สอยได้ทันที (Instant Policy) คล้าย ๆ บะหมี่สำเร็จรูป (Instant Noodles) เช่น นโยบายค่าแรง 300 บาท เงินเดือน 15,000 บาท โครงการจำนำข้าว แต่รัฐบาลก็ไม่ทิ้งกลุ่มคนที่มีรายได้ปานกลางขึ้นไปจึงมีนโยบายบ้านหลังแรก รถยนต์คันแรกให้กับประชาชน ในขณะที่ ประชาชนที่ถูกศึกษากลุ่มหนึ่งระบุว่า ชาวบ้านทั่วไปยังไม่เห็นความชัดเจนในนโยบายสาธารณะของพรรคประชาธิปัตย์ที่ตอบโจทย์แก้ปัญหาชาวบ้านได้ แต่กลับมีภาพของความขัดแย้ง การวิพากษ์วิจารณ์โจมตี ‘จุดอ่อน’ ต่างๆ ในนโยบายรัฐบาลเหมือนเดิมที่เคยทำผ่านมาในอดีต
“ถ้าฝ่ายการเมืองและผู้ใหญ่ในสังคมยังคงแก้ปัญหาชาติด้วยวิธีคิด วิธีปฏิบัติแบบเดิมที่เคยได้ใช้ที่ผ่านมา พวกเราก็จะได้ผลลัพธ์และผลกระทบของการแก้ปัญหาชาติในลักษณะเดิมๆ ไม่ค่อยแตกต่างไปจากอดีตจากที่พวกเราเคยได้รับ ดังนั้น ทุกฝ่ายในสังคมจึงน่าจะมุ่งเน้นไปที่ ‘จุดแข็งและโอกาสของประเทศ’ ทำให้สาธารณชนเกิด ‘แรงบันดาลใจ’ ที่เป็นความหวังในหมู่ประชาชนที่จะมุ่งสู่ ‘ผลลัพธ์’ แห่งความสำเร็จร่วมกันของทุกฝ่ายเพื่อความมั่นคงของประเทศชาติและความอยู่ดีกินดีของประชาชนส่วนใหญ่ทั้งประเทศ เพราะการมุ่งโจมตีเฉพาะจุดอ่อนที่เป็นข้อผิดพลาดต่างๆ มีแต่จะทำให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงบานปลายไม่จบสิ้นกลายเป็นปัญหา ‘วัวพันหลัก’ แห่งความทุกข์ของทุกคนในชาติ สลัดเท่าไหร่ก็หลุดไม่พ้นคอ” ผอ.เอแบคโพลล์ กล่าว
