เอแบคโพลล์ชี้ ‘คนไทยยกในหลวงเสด็จออกมหาสมาคม-ทุ่งมะขามหย่อง’ ซิวที่สุดข่าวปี 55
เอแบคโพลล์ชี้ ‘ที่สุดข่าวแห่งปี 55’ คนไทยปลื้มในหลวงเสด็จออกมหาสมาคม-ทุ่งมะขามหย่อง ‘ดีเอสไอตั้งข้อหามาร์ค-สุเทพฆ่าคนตาย’ ซิวการเมืองอันดับ 1 ระบุคนเสพแต่พาดหัวข่าว หวั่นขาดวิจารณาญาณ ร้องสื่อฯ เสนอข่าวจริงมากกว่าข่าวเทียม
วันที่ 23 ธ.ค. 55 ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ ‘ที่สุดของ ข่าวแห่งปี 2555 : กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปที่พักอาศัยในเขตกรุงเทพมหานคร พบว่า ที่สุดของ ข่าวการเมือง อันดับที่ 1 คือ ‘ดีเอสไอ ตั้งข้อหา อภิสิทธิ์-สุเทพ ก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล’ ได้ร้อยละ 20.1 อันดับ 2คือ ‘พรบ. ปรองดอง เดือด สส. ตะลุมบอนกันวุ่นในรัฐสภา’ ได้ร้อยละ 18.4 อันดับ 3 คือ ‘ม็อบเสธฯ อ้าย ประท้วงขับไล่รัฐบาล’ได้ ร้อยละ 16.3 อันดับ 4 คือ ‘ภาพโป๊หลุดกลางรัฐสภา’ ได้ ร้อยละ 14.2 และ อันดับ 5 ‘เแฉคลิปเสียงประธานรัฐสภา พูดถึงเบื้องหลังที่รัฐบาลยอมถอยแก้รัฐธรรมนูญ และการชะลอร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง’ ได้ ร้อยละ 11.7 ตามลำดับ
ที่สุดข่าวอาชญากรรม อันดับ 1 คือ ‘ขุดพบโครงกระดูกในไร่หมอสุพัฒน์’ ได้ ร้อยละ 23.5 อันดับ 2 คือ ‘คดีปลัดกระทรวงคมนาคมถูกปล้นบ้าน และโดนข้อหาร่ำรวยผิดปกติ’ ได้ ร้อยละ 16.2 อันดับ 3 คือ ‘ลูกเจ้าสัวกระทิงแดง ขับรถชนตำรวจตาย’ ได้ ร้อยละ 15.4 อันดับ 4 คือ ‘เกิดเหตุระเบิดโรงแรมลีการ์เด้น หาดใหญ่’ ได้ ร้อยละ 15.3 และอันดับ 5 คือ ‘ศาลเยาวชนฯ พิพากษาจำคุก สาวซีวิค 2 ปี รอลงอาญา 3 ปี พร้อมห้ามขับรถจนกว่าจะอายุ 25 ปี’ ได้ ร้อยละ 12.4 ตามลำดับ
ที่สุด ข่าวเศรษฐกิจ อันดับ 1 คือ ‘ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ใน 7 จังหวัดนำร่อง และอีกจังหวัดที่เหลือขึ้นอีก 40%’ ได้ ร้อยละ 30.6 อันดับ 2 คือ ‘เปิดประมูล 3 จี’ ได้ ร้อยละ 19.9 อันดับ 3 คือ ‘ปรับขึ้นเงินเดือน ป. ตรี 15,000 บาท นำร่องข้าราชการ’ ได้ ร้อยละ 17.4 อันดับ 4 คือ ‘โครงการจำนำข้าว’ ได้ ร้อยละ 16.4 และอันดับ 5 คือ ‘ยอดจองถล่มทลาย! รถคันแรกพุ่ง 7.2 แสนคัน คืนภาษี 5.3 หมื่นล้านบาท’ ได้ ร้อยละ 15.7 ตามลำดับ
ที่น่ายินดีคือ เหตุการณ์ที่ทำให้มีความสุขมากที่สุดในปี 2555 อันดับ 1 คือ ‘ในหลวงเสด็จออกมหาสมาคม ในโอกาสพระราชพิธี มหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2555’ ได้ร้อยละ 36.2 อันดับ 2 คือ ‘ในหลวงเสด็จเยือนบริเวณทุ่งมะขามหย่อง จ.พระนครศรีอยุธยา’ ได้ ร้อยละ 34.6 อันดับ 3 คือ ‘ฉลองพุทธชยันตี 2,600 ปี แห่งการตรัสรู้และประกาศพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า’ ได้ ร้อยละ 12.1 อันดับ 4 คือ ‘นักกีฬาไทยคว้าเหรียญกีฬาโอลิมปิกส์’ ได้ ร้อยละ 10.5 และอันดับ 5 คือ ‘นักกีฬาคนพิการคว้าเหรียญกีฬาพาราลิมปิกส์’ ได้ ร้อยละ 6.6 ตามลำดับ
ที่น่าเศร้าใจคือ เหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกสลดใจมากที่สุดในปี 2555 อันดับ 1 คือ ‘เหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้’ ได้ ร้อยละ 37.3 อันดับ 2 คือ ‘เด็ก 3 ขวบ กอดศพแม่นาน 3 วัน โดยไม่รู้ว่าแม่เสียชีวิต’ ได้ ร้อยละ 25.3 อันดับ 3 คือ ‘คนร้ายบุกยิงโรงเรียนในสหรัฐ เสียชีวิต 27 ราย’ ได้ ร้อยละ 22.0 อันดับ 4 คือ ‘เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในฟิลิปปินส์’ ได้ ร้อยละ 8.4 และอันดับ 5 คือ ‘พายุเฮอร์ริเคนแซนดี้ถล่มสหรัฐ’ ได้ร้อยละ 7.0 ตามลำดับ
ผอ. เอแบคโพลล์ กล่าวว่า จากการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการสัมภาษณ์เจาะลึกพบว่า ประชาชนให้ความสำคัญต่อ ‘ข่าว’ และกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันที่ต้องติดตามเรียนรู้เปรียบเสมือนว่า ข่าวเป็นเนื้อหาของบทเรียนในแต่ละวัน ในแต่ละช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ขึ้นในสังคม อย่างไรก็ตาม ที่น่าเป็นห่วงคือ ประชาชนจำนวนมากติดตามเพียง ‘หัวข้อข่าว’ ที่ถูกหยิบขึ้นมาพาดหัวและส่วนมากเชื่อและเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ เกิดอารมณ์ ชอบหรือไม่ชอบไปตามหัวข้อข่าว ขาดการติดตามในรายละเอียดของเนื้อหาของข่าว จนบางครั้งเกิดทะเลาะกัน มีปากเสียงกันภายในครอบครัวและชุมชน หรือกับเพื่อนร่วมงาน และแม้แต่ ‘คนแปลกหน้า’ ที่ไม่รู้จักกันมาก่อน นี่คืออันตรายอย่างยิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางในหมู่ประชาชนคนไทย ดังนั้น การติดตาม ‘ข่าว’ ต้องติดตามลงไปในรายละเอียด และถ้าคนไทยเล็งเห็นว่า มีการแบ่งค่ายของสำนักข่าวต่างๆ ทางออกที่น่าพิจารณาอย่างน้อย 3 ทางเลือกคือ
1) เสนอให้สถาบันสื่อสารมวลชนเสนอข่าวที่เล็งเห็นว่าอาจก่อให้เกิดความแตกแยกในหมู่ประชาชนให้ครบถ้วนรอบด้าน และสรุปในเชิงสร้างสรรค์ด้วยเหตุผล มากกว่า ถ้อยคำด้วยความรู้สึก โกรธแค้น และใช้ถ้อยคำที่ ‘ปั่น’ อารมณ์ให้คนทะเลาะกัน
2) เสนอให้ประชาชนเป็นผู้ ‘ตื่น’ คือเป็น Active ไม่เป็นเพียง ‘ผู้รับ’ หรือ Passive กล่าวคือไม่ไหลไปตามกระแส ศึกษาเรียนรู้ด้วยความเป็นจริงโดยตัวเองให้ครบถ้วนรอบด้าน
3) หยุดหรือชะลอการนำเสนอข่าวที่ยังไม่เห็นชัดเจนว่ามันเป็นความจริง ไม่ควรเสนอข่าวที่จะก่อให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงบานปลาย จากต้นตอของข่าวที่เริ่มจากคำว่า ‘เขาว่ากันว่า.........’ จากนั้นก็วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางทั้งๆ ที่ไม่มีมูลของความเป็นจริงอยู่เลย ยิ่งไปกว่านั้น ผู้นำเสนอข่าวเองอาจเกิดอารมณ์หรืออคติชี้นำไปแล้วในฐานะเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีต่อ ‘ข่าว’ และอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงสูงที่จะผิดจรรยาบรรณของสถาบันสื่อมวลชนได้ง่าย จึงเสนอให้ทุก ๆ ฝ่ายช่วยเหลือกันประคับประคองให้สังคมไทยผ่านพ้นปัญหาอุปสรรคแห่งความขัดแย้งในหมู่ประชาชนผ่าน ‘ข่าวจริง’ มากกว่า ‘ข่าวเทียม’ เพราะในเวลานี้ ‘ข่าวเทียม’ กำลังกลายเป็นต้นตอแห่งความขัดแย้งและความไม่เข้าใจกันอยู่ในเวลานี้ จึงหวังว่า ปีหน้านี้ สถาบันสื่อมวลชนจะทำให้ประชาชนทุกหมู่เหล่าได้ติดตาม ‘ข่าวจริง’ ที่จะทำให้สังคมไทยขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน.
